ฟิสิกส์ ม.4 – แรงและกฎการเคลื่อนที่

PANYA SOCIETY

แรงและกฎการเคลื่อนที่

สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เรื่อง แรงและกฎการเคลื่อนที่

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     เดินทางมาสู่บทที่ 3 ของฟิสิกส์ ม. 4 เทอม 1แรงและกฎการเคลื่อนที่ ซึ่งนับว่าเป็นบทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนบทต่อ ๆ ไป ในวิชาฟิสิกส์ ม. ปลาย และในสถิติข้อสอบ TCAS สัดส่วนการออกข้อสอบบทนี้ในปีที่ผ่าน ๆ มา ของข้อสอบ 9 วิชาสามัญ พบความถี่ในการออกข้อสอบโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ข้อในทุกปี

       นับว่าบทเรียนฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เรื่อง แรงและกฎการเคลื่อนที่ มีความสำคัญอย่างยิ่งที่น้อง ๆ จะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด และอัดพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือกับการทำข้อสอบที่มีความหลากหลาย และควรฝึกทำโจทย์ที่ประยุกต์หลายบทเข้าไว้ด้วยกัน ที่มีเนื้อหาร่วมกับบทนี้

      อย่างที่กล่าวข้างต้น แรงและกฎการเคลื่อนที่ ออกข้อสอบทุกปี ดังนั้น น้อง ๆ ก็ควรใช้เป็นข้อที่ทำคะแนนอย่างยิ่ง เพื่อให้การอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยคุ้มค่าที่สุด

แรงและกฎการเคลื่อนที่ มีหน่วยย่อย ดังนี้

  • แรงและการแตกแรง 
  • กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน 
  • แรงดึงดูดระหว่างมวล 
  • แรงในแนวตั้งฉาก 
  • แรงตึงเชือก 
  • แรงเสียดทาน

แรงและการแตกแรง

แรง

แรงเป็นการกระทำที่ผลักหรือดึง เป็นปริมาณเวกเตอร์

ถ้าแรงลัพธ์ที่กระทำกับวัตถุไม่เท่ากับศูนย์ วัตถุจะเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่

แรงมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ

1. แรงที่ต้องสัมผัส
คือ แรงที่ต้องสัมผัสวัตถุก่อนถึงจะเกิดแรงได้
เช่น การผลักของ การดึงของ การเตะ การต่อย เป็นต้น

2. แรงที่ไม่ต้องสัมผัส
คือ แรงที่ไม่ต้องสัมผัสวัตถุก็เกิดแรงได้
เช่น แรงโน้มถ่วง แรงเเม่เหล็ก เเรงทางไฟฟ้า เป็นต้น


การรวมแรง

เหมือนการรวมเวกเตอร์ทั่วไป โดยมีวิธีรวมแรงดังนี้

1. วาดรูป

2. การคำนวณ

2.1 แรงอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน

กำหนดทิศใดทิศหนึ่งเป็นบวก ทิศที่ตรงข้ามกับทิศที่กำหนดจะเป็นลบ แล้วนำขนาดมารวมกันตามเครื่องหมายที่ได้ คำตอบถ้าออกมาเป็นค่าบวกก็มีทิศเดียวกับทิศที่กำหนดให้เป็นบวก ถ้าคำตอบที่ได้มีค่าลบก็มีทิศตรงข้ามกับที่กำหนด

เช่น

2.2 แรงตั้งฉากกัน

ขนาดของแรงลัพธ์จะหาได้ด้วยวิธีพีทาโกรัส

2.3 แตกแรง

จากการที่เราสามารถรวมแรงเป็นแรงลัพธ์ได้ ในบางกรณีก็อาจแตกเเรงออกเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานได้

โดยมีขั้นตอนการแตกแรงดังนี้

* จะแตกแรงโดยใช้ cos หรือ sin ต้องพิจารณาว่า แรงทำมุมกับแกนใด *

กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน

มีอยู่ทั้งหมด 3 ข้อ

1. วัตถุจะคงสภาพหยุดนิ่ง หรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เป็นเส้นตรง เว้นแต่จะถูกกระทำด้วยแรงทำให้เปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่

ใช้เมื่อ v = 0 หรือ v คงที่

2. ความเร่งของวัตถุแปรผันตรงกับแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุ และแปรผกผันกับมวลของวัตถุ

ใช้เมื่อ แรงลัพธ์ไม่เท่ากับศูนย์ หรือ มีความเร่ง

3. แรงที่วัตถุที่ 1 กระทำต่อวัตถุที่ 2 มีขนาดเท่ากับแรงที่วัตถุที่ 2 กระทำต่อวัตถุที่ 1 แต่มีทิศตรงข้าม

แรงดึงดูดระหว่างมวล

วัตถุที่มีมวลจะมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ซึ่งแรงทั้งสองจะมีขนาดเท่ากันแต่มีทิศตรงกันข้าม ดังรูป

ซึ่ง F1 มีขนาดเท่ากับ F2

ขนาดของแรงทั้งสองสามารถคำนวณได้จากสูตร

โดยที่    FG   คือ แรงดึงดูดระหว่างมวล

          G    คือ ค่าโน้มถ่วงสากล มีค่าเท่ากับ 6.67 × 10-11 นิวตัน·เมตร2/กิโลกรัม2

          R    คือ ระยะห่างระหว่างมวลทั้งสอง

มวลทุกมวลจะมีแรงดึงดูดระหว่างกัน เช่น มนุษย์ 2 คนก็มีแรงดึงดูดเข้าหากัน แต่แรงนั้นมีค่าน้อยมาก ๆ ทำให้ไม่รู้สึกว่ามีแรงดึงดูดอยู่ แรงนี้จะมีผลกับวัตถุที่มีมวลมาก ๆ เช่น โลก ดาวเคราะห์ต่าง ๆ เป็นต้น

แรงในแนวตั้งฉาก

ถ้าเรามีวัตถุวางอยู่นิ่งบนพื้น จะมีแรงโน้มถ่วงของโลกมากระทำต่อวัตถุนั้น จากกฎข้อที่ 1 ของนิวตัน คือ ΣF = 0 แสดงว่าต้องมีแรงต้านที่ต้านแรงโน้มถ่วงเพื่อทำให้วัตถุอยู่นิ่งได้ นั่นคือแรงที่พื้นดันวัตถุนั่นเอง เราเรียกเเรงนั้นว่า แรงในแนวตั้งฉาก (FN) และค่าของแรงในแนวตั้งฉากเป็นได้หลายค่า


คุณสมบัติของแรงในแนวตั้งฉาก

1. มีทิศตั้งฉากกับพื้นผิวเสมอ
2. มีอยู่เมื่อวัตถุกดลงบนพื้นผิว

แรงตึงเชือก

ถ้าเรามีวัตถุที่ห้อยอยู่นิ่งบนเพดานด้วยเชือกเบาจะมีแรงโน้มถ่วงมากระทำต่อวัตถุนั้น ในกรณีนี้แรงที่มาต้านแรงโน้มถ่วงคือ แรงตึงเชือก (FT)

คุณสมบัติของแรงตึงเชือก

1. ถ้าเชือกไม่มีมวล การดึงเชือกที่ไม่มีมวลที่ผูกติดกับวัตถุจะเหมือนกับการดึงวัตถุธรรมดา

2. ขนาดของเเรงตึงเชือกจะมีค่าเท่ากันทั้งเส้น

3. ทิศทางของแรงตึงเชือกขนานกับเชือกทุก ๆ จุดบนเส้นเชือก ทำให้สามารถใช้เชือกเป็นอุปกรณ์ในการเปลี่ยนทิศทางของแรงได้

การวัดค่าแรงตึงเชือกเราสามารถเอาตาชั่งสปริงมาชั่งระหว่างกลางเส้นเชือกตรงจุดที่เราอยากหาแรงตึงเชือก โดยค่าที่อ่านได้จากตาชั่งสปริงจะเป็นค่าของแรงตึงเชือกนั่นเอง

แรงเสียดทาน

คือ เเรงที่ต้านการเคลื่อนที่ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ ตัวย่อคือ f

แรงเสียดทานมี 2 ชนิด

1. แรงเสียดทานสถิต (fs)

คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหว่างพื้นผิวกับวัตถุ โดยที่มีแรงมากระทำกับวัตถุในแนวขนานกับพื้นผิว แต่วัตถุไม่เคลื่อนที่ ค่าของแรงเสียดทานสถิตจะมีได้หลายค่า โดยมีค่าเท่ากับแรงที่มากระทำกับวัตถุแต่วัตถุไม่เคลื่อนที่ จนมีค่ามากสุดคือ แรงเสียดทานสถิตมากสุด (fsmax)

โดย μs คือ สัมประสิทธิ์ความเสียดทานสถิต

2. แรงเสียดทานจลน์ (fk)

คือ แรงเสียดทานที่เกิดระหว่างพื้นผิวกับวัตถุขณะที่วัตถุเคลื่อนที่ แรงเสียดทานจลน์จะคงที่ตลอด และจะมีค่าน้อยกว่าค่าเเรงเสียดทานสถิตมากสุด ในพื้นผิวสัมผัสเดียวกัน

โดย μk คือ สัมประสิทธิ์ความเสียดทานจลน์

***ค่า μs จะมีค่ามากกว่า μk เสมอบนพื้นผิวเดียวกัน***

คุณสมบัติของแรงเสียดทาน

  1. มีทิศขนานกับพื้นผิว
  2. มีทิศต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ ไม่มีทางที่จะส่งเสริมการเคลื่อนที่ให้เร็วขึ้น
  3. วัตถุจะต้องสัมผัสพื้นผิวถึงจะมีแรงเสียดทาน

คุยกันท้ายบท

       จะเห็นได้ว่า แรงและกฎการเคลื่อนที่ ในฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาฟิสิกส์ ซึ่งถ้าน้องคนไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงก็จะยิ่งสร้างปมปัญหาต่อมาถึงบทถัดไป ดังนั้น ควรทบทวนแรงและกฎการเคลื่อนที่ ให้คล่องที่สุด

       ที่สำคัญคือ อย่าลืมฝึกทำโจทย์บ่อย ๆ และใช้เวลาว่างบนหน้าเว็บไซต์ของ Panya Society ลองฝึกทำโจทย์ที่พี่ให้ไว้ หรือเข้าไปชมตัวอย่างวิดีโอการสอนต่าง ๆ พร้อมคิดคำนวณตามไปด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการทบทวนความรู้ครับ แล้วพบกันในเทอมต่อไป เข้มข้นยิ่งขึ้นกับ ฟิสิกส์ ม.4 เทอม 2 มีรูปแบบการคิดแบบใหม่ สนุกแน่นอนครับผม 🙂

       พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 ไปตลอดทั้งเทอม ขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียน ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แวะไปชมเนื้อหาบทต่อไปของฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 กันด้วยนะ…อย่าเทพี่แชร์กลางทางนะครับ

บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง

กลับหน้าบทความหลัก

ตัวอย่างการสอน โดยพี่แชร์

เรียนสนุก ทำโจทย์คล่อง สอบให้ติด

: คอร์สแนะนำ :

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.5 – เวกเตอร์

PANYA SOCIETY

เวกเตอร์

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     เดินทางมาสู่บทที่ 3 ของคณิตศาสตร์ ม. 5 เทอม 1 “เวกเตอร์” ก็นับว่าเป็นบทสำคัญอย่างยิ่งอีกเช่นกัน เพราะในสถิติข้อสอบ TCAS สัดส่วนการออกข้อสอบบทนี้ ในปีที่ผ่าน ๆ มา ในข้อสอบ A – Level พบความถี่ในการออกข้อสอบโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 2 ข้อในทุกปี

       นับว่าบทเรียนคณิตศาสตร์ ม. 5 เทอม 1 เรื่อง “เวกเตอร์” มีความสำคัญอย่างยิ่งที่น้อง ๆ จะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด และอัดพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือกับการทำข้อสอบที่มีความหลากหลาย และควรฝึกทำโจทย์ที่ประยุกต์หลายบทเข้าไว้ด้วยกัน ที่มีเนื้อหาร่วมกับบทนี้

      อย่างที่กล่าวข้างต้น เวกเตอร์ มีออกข้อสอบทุกปี ดังนั้น น้อง ๆ ก็ควรใช้เป็นข้อที่ทำคะแนนอย่างยิ่ง เพื่อให้การอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยคุ้มค่าที่สุด

เวกเตอร์ มีหน่วยย่อย ดังนี้

  • เวกเตอร์และสมบัติของเวกเตอร์ 
  • เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก
  • ผลคูณเชิงสเกลาร์ 
  • ผลคูณเชิงเวกเตอร์ 

เวกเตอร์และสมบัติของเวกเตอร์ 

เวกเตอร์

เป็นปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง
เช่น การบอกทางให้คนเดินไป ถ้าบอกแค่ว่า เดินไป 10 ก้าว จะยังไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหน ต้องบอกว่า เดินไปในทิศทางไหนด้วย

เนื่องจากเวกเตอร์เป็นปริมาณที่บอกขนาดและทิศทางเท่านั้น ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเริ่มจากจุดใดและไปจบที่จุดใด
ดังนั้นเราสามารถเลื่อนเวกเตอร์ได้ แต่ต้องไม่เปลี่ยนขนาดและทิศทางของเวกเตอร์นั้น

เช่น พิจารณาสี่เหลี่ยมด้านขนาน

จะได้ว่า

เมื่อมีเวกเตอร์หนึ่งที่มีขนาดเท่ากับเวกเตอร์ u แต่มีทิศตรงข้ามกัน จะเรียกเวกเตอร์นั้นว่า -u


การบวกเวกเตอร์

* การลบเวกเตอร์ u – v จะหาได้จาก v + (-u)


การคูณด้วยสเกลาร์

การคูณค่าคงที่ c กับเวกเตอร์หนึ่ง จะทำให้ขนาดของเวกเตอร์นั้นเพิ่มขึ้นเป็น c เท่า
– ถ้า c เป็นบวก เวกเตอร์ที่ได้จะมีทิศทางเดิม
– ถ้า c เป็นลบ เวกเตอร์ที่ได้จะมีทิศทางตรงกันข้าม
เช่น


สมบัติการบวกเวกเตอร์และการคูณเวกเตอร์ด้วยสเกลาร์

เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก

ให้ u เป็นเวกเตอร์ที่ลากจากจุด x1, y1, z1 ไปยัง x2, y2, z2 ในระบบพิกัดฉากสามมิติ ดังรูป

จะสามารถเขียนเวกเตอร์ในรูปคู่อันดับ ได้ดังนี้

(x2 – x1, y2 – y1, z2 – z1)

หรือสามารถเขียนในรูปเมทริกซ์หลัก ได้ดังนี้


ขนาดของเวกเตอร์

ขนาดของเวกเตอร์ ก็คือ ความยาวของเวกเตอร์นั้น โดยไม่คำนึงถึงทิศทาง
ขนาดของเวกเตอร์ u เขียนแทนด้วย |u|

เมื่อเวกเตอร์ u = (a, b, c) จะสามารถหาขนาดของเวกเตอร์ ได้จาก


เวกเตอร์หนึ่งหน่วย

จะหาเวกเตอร์หนึ่งหน่วย ที่มีทิศทางเดียวกับเวกเตอร์ u ได้จาก

ผลคูณเชิงสเกลาร์

สมบัติของผลคูณเชิงสเกลาร์

ผลคูณเชิงเวกเตอร์

สมบัติของผลคูณเชิงเวกเตอร์

การประยุกต์ใช้ผลคูณเชิงเวกเตอร์

คุยกันท้ายบท

       จะเห็นได้ว่า “เวกเตอร์” ในคณิตศาสตร์ ม. 5 เทอม 1 จะมีความเชื่อมโยงกับบทที่ผ่านมาคือ “เมทริกซ์” ซึ่งถ้าน้องคนไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงจากบทก่อนหน้านี้ ก็จะยิ่งสร้างปมปัญหาต่อมาถึงบทนี้ ดังนั้น ควรกลับไปทบทวน “เมทริกซ์” จะได้นำความรู้ความเข้าใจจากบทที่แล้ว มาต่อยอดได้ในเนื้อหาของบทนี้

       ที่สำคัญคือ อย่าลืมฝึกทำโจทย์บ่อย ๆ และใช้เวลาว่างบนหน้าเว็บไซต์ของ Panya Society ลองฝึกทำโจทย์ที่พี่ให้ไว้ หรือเข้าไปชมตัวอย่างวิดีโอการสอนต่าง ๆ พร้อมคิดคำนวณตามไปด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการทบทวนความรู้ครับ แล้วพบกันในเทอมต่อไป เข้มข้นยิ่งขึ้นกับ ม.5 เทอม 2 มีรูปแบบการคิดแบบใหม่ สนุกแน่นอนครับผม 🙂

       พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 ไปตลอดทั้งเทอม ขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียน ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แวะไปชมเนื้อหาบทต่อไปของคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 กันด้วยนะ…อย่าเทพี่นอตกลางทางนะครับ

บทที่ 2 เมทริกซ์

กลับหน้าบทความหลัก

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.5 – เมทริกซ์

PANYA SOCIETY

เมทริกซ์

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     เดินทางมาสู่บทที่ 2 ของคณิตศาสตร์ ม. 5 เทอม 1 “เมทริกซ์” ก็นับว่าเป็นบทสำคัญอย่างยิ่งอีกเช่นกัน เพราะในสถิติข้อสอบ TCAS สัดส่วนการออกข้อสอบบทนี้ ในปีที่ผ่าน ๆ มา ในข้อสอบ A – Level พบความถี่ในการออกข้อสอบโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 1 – 2 ข้อในทุกปี

       นับว่าบทเรียนคณิตศาสตร์ ม. 5 เทอม 1 เรื่อง “เมทริกซ์” มีความสำคัญอย่างยิ่งที่น้อง ๆ จะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด และอัดพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือกับการทำข้อสอบที่มีความหลากหลาย และควรฝึกทำโจทย์ที่ประยุกต์หลายบทเข้าไว้ด้วยกัน ที่มีเนื้อหาร่วมกับบทนี้

      อย่างที่กล่าวข้างต้น เมทริกซ์ มีออกข้อสอบทุกปี ดังนั้น น้อง ๆ ก็ควรใช้เป็นข้อที่ทำคะแนนอย่างยิ่ง เพื่อให้การอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยคุ้มค่าที่สุด

เมทริกซ์ มีหน่วยย่อย ดังนี้

  • ระบบสมการเชิงเส้น
  • เมทริกซ์และชนิดของเมทริกซ์
  • ทรานสโพสและการเท่ากันของเมทริกซ์
  • การบวก การคูณ และการยกกำลังของเมทริกซ์
  • ดีเทอร์มิแนนต์ ไมเนอร์ และโคแฟกเตอร์
  • ตัวผกผันของเมทริกซ์
  • การแก้ระบบสมการโดยใช้เมทริกซ์

ระบบสมการเชิงเส้น

สมการเชิงเส้น คือ สมการที่ตัวแปรทุกตัวมีเลขยกกำลังเป็น 1

สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว สามารถแก้สมการได้ตามปกติ
เช่น    2x + 1 = 5
            2x = 4
              x = 2

สมการเชิงเส้น 2 ตัวแปร สามารถแก้สมการได้เมื่อมี 2 สมการ
เช่น    x + 3y = 8    เป็นสมการที่ (1)
        x – 2y = 3    เป็นสมการที่ (2)

คูณแต่ละสมการด้วยค่าคงที่ แล้วนำมาบวกลบกัน เพื่อกำจัด 1 ตัวแปร
       นำ (1) – (2) :     x + 3y – (x – 2y) = 8 – 3
                                            5y = 5
                                              y = 1
       แทน y = 1 ใน (1) :           x + 3(1) = 8
                                              x = 5

สมการเชิงเส้น 3 ตัวแปร สามารถแก้สมการได้เมื่อมี 3 สมการ
เช่น    ระบบสมการ
                                     x + y + z = 2    เป็นสมการที่ (1)
                                     x + y – z = 4    เป็นสมการที่ (2)
                                   x + 2y + z = 4    เป็นสมการที่ (3)

นำ (1) – (2) :                              2z = -2
                                              z = -1
แทน z = -1 ใน (1) :               x + y – 1 = 2
                                         x + y = 3     เป็นสมการที่ (4)
แทน z = -1 ใน (2) :               x + y + 1 = 4
                                         x + y = 3
แทน z = -1 ใน (3) :             x + 2y – 1 = 4
                                       x + 2y = 5      เป็นสมการที่ (5)
นำ 2×(4) – (5) :       2x + 2y – (x + 2y) = 6 – 5
                                              x = 1
แทน x = 1 ใน (4) :                    1 + y = 3
                                             y = 2
ดังนั้น x = 1, y = 2, z = -1

เนื่องจากสมการเชิงเส้น 2 ตัวแปร คือ สมการเส้นตรง จึงอาจหาคำตอบของระบบสมการ 2 สมการ ได้ 3 แบบ
     1. หาคำตอบได้แน่นอน ในกรณีที่สมการเส้นตรงทั้งสองไม่ขนานกัน
     2. หาคำตอบไม่ได้ ในกรณีที่สมการเส้นตรงทั้งสองขนานกัน และไม่ใช่เส้นตรงเดียวกัน
     3. มีคำตอบมากมายไม่จำกัด ในกรณีที่สมการเส้นตรงทั้งสองเป็นเส้นตรงเดียวกัน

เมทริกซ์และชนิดของเมทริกซ์

เมทริกซ์ คือ สิ่งที่เก็บข้อมูลกลุ่มหนึ่งไว้ โดยตำแหน่งของข้อมูลมีความสำคัญ ไม่สามารถสลับตำแหน่งของข้อมูลได้ สามารถเขียนได้โดย นำข้อมูลมาเขียนเรียนเป็นแถวและหลัก ไว้ในวงเล็บ [ ]

เช่น

กำหนดเมทริกซ์

  • เมทริกซ์ A มีขนาด (มิติ) m × n หมายความว่า เมทริกซ์ A มีจำนวน m แถว และมี n หลัก
  • เรียกสมาชิกที่อยู่ตำแหน่ง แถวที่ i หลักที่ j ว่า aij

ชนิดของเมทริกซ์

1. เมทริกซ์แถว คือ เมทริกซ์ที่มีเพียง 1 แถว ซึ่งจะมีมิติ = 1 × n

2. เมทริกซ์หลัก คือ เมทริกซ์ที่มีเพียง 1 หลัก ซึ่งจะมีมิติ = m × 1

3. เมทริกซ์ศูนย์ คือ เมทริกซ์ที่มีสมาชิกทุกตัวเป็น 0

4. เมทริกซ์จตุรัส คือ เมทริกซ์ที่มีจำนวนแถวเท่ากับจำนวนหลัก ซึ่งจะมีมิติ = k × k

5. เมทริกซ์เอกลักษณ์ คือ เมทริกซ์จัตุรัสที่มีสมาชิกในแนวทแยงมุมหลัก (แนวทแยงมุมจากบนซ้ายไปล่างขวา) เป็นเลข 1 และสมาขิกที่เหลือเป็น 0

6. เมทริกซ์ทแยงมุม คือ เมทริกซ์ที่มีสมาชิกซึ่งไม่อยู่ในแนวทแยงมุมหลักเป็น 0 ทั้งหมด

7. เมทริกซ์สเกลาร์ คือ เมทริกซ์จัตุรัสที่มีสมาชิกในแนวทแยงมุมหลักมีค่าเท่ากัน และสมาชิกที่เหลือเป็น 0

8. เมทริกซ์สามเหลี่ยมบน คือ เมทริกซ์จัตุรัสที่มีสมาชิกที่อยู่ใต้แนวทแยงมุมหลักมีค่าเป็น 0

9. เมทริกซ์สามเหลี่ยมล่าง คือ เมทริกซ์จัตุรัสที่มีสมาชิกที่อยู่เหนือแนวทแยงมุมหลักมีค่าเป็น 0

ทรานสโพสและการเท่ากันของเมทริกซ์

ทรานสโพสของเมทริกซ์ คือ เมทริกซ์ที่เกิดจากการสลับให้แถวเป็นหลัก ให้หลักเป็นแถว
ทรานสโพสของเมทริกซ์ A เขียนแทนด้วย At

เช่น

  • สมาชิกในแถวที่ i หลักที่ j ของเมทริกซ์ A จะมีค่าเท่ากับ สมาชิกในแถวที่ j หลักที่ i ของเมทริกซ์ At
  • ถ้าเมทริกซ์ A มีมิติ = m × n แล้วเมทริกซ์ At มีมิติ = n × m
  • เมทริกซ์ (At)t จะเท่ากับ เมทริกซ์ A
  • ถ้าเมทริกซ์ At = A จะได้ว่า เมทริกซ์ A เป็น เมทริกซ์สมมาตร

การคูณเมทริกซ์ด้วยค่าคงที่

ให้ k เป็นค่าคงที่

  • ถ้าเมทริกซ์ At = -A จะได้ว่า เมทริกซ์ A เป็น เมทริกซ์เสมือนสมมาตร

การเท่ากันของเมทริกซ์

เมทริกซ์จะเท่ากันได้ เมื่อมีมิติเท่ากัน และสมาชิกตำแหน่งเดียวกันมีค่าเท่ากัน

เช่น

การบวก การคูณ และการยกกำลังของเมทริกซ์

การบวกเมทริกซ์

เมทริกซ์จะบวกหรือลบกันได้เมื่อมีมิติเท่ากัน โดยนำตัวที่อยู่ตำแหน่งเดียวกันมาบวกหรือลบกัน

เช่น

สมบัติของการบวกเมทริกซ์

ให้ A, B, C เป็นเมทริกซ์ c, d เป็นค่าคงที่ และ 0 เป็นเมทริกซ์ศูนย์
1. มิติของ A + B = มิติของ A = มิติของ B
2. A + B = B + A
3. (A + B) + C = A + (B + C)
4. A + 0 = 0 + A = A
5. A + (-A) = (-A) + A = 0
6. c(A + B) = cA + cB
7. (c + d)A = cA + dA
8. (cd)A = c(dA) = (dc)A = d(cA)
9. 1A = A
10. 0A = 0

การคูณเมทริกซ์

1. เมทริกซ์ A จะคูณกับ B ได้ เมื่อจำนวนหลักของ A เท่ากับจำนวนแถวของ B
   ถ้า A มีมิติ m × n และ B มีมิติ n × p จะได้ A × B มีมิติ m × p

2. ให้ C = A × B
   จะได้ว่า Cxy หาได้จาก การนำแถวที่ x ของ A มากระทำกับหลักที่ y ของ B

   โดย Cxy = (ตัวที่ 1 ของแถว A)(ตัวที่ 1 ของหลัก B) + (ตัวที่ 2 ของแถว A)(ตัวที่ 2 ของหลัก B) + …

เช่น

สมบัติของการคูณเมทริกซ์

เมทริกซ์ยกกำลัง

เมทริกซ์ที่ยกกำลังได้ จะต้องเป็นเมทริกซ์จตุรัส

เช่น

ดีเทอร์มิแนนต์ ไมเนอร์ และโคแฟกเตอร์

ดีเทอร์มิแนนต์

เป็นคุณสมบัติของเมทริกซ์จัตุรัส มีค่าเป็นจำนวนจริง
ดีเทอร์มิแนนต์ของ A เขียนแทนด้วย det A = |A|

เมทริกซ์ 2 × 2 หา det โดยการคูณแนวทแยงมุมหลัก ลบด้วยการคูณแนวทแยงมุมจากล่างซ้ายไปบนขวา

เมทริกซ์ 3 × 3 หา det ได้โดยเติมสองหลักแรกต่อจากเมทริกซ์เดิม
แล้วหา det โดยคูณแนวทแยงมุมจากบนซ้ายไปล่างขวา ลบด้วย คูณแนวทแยงมุมจากล่างซ้ายไปบนขวา

ข้อควรรู้

  • เมทริกซ์ที่มี det เท่ากับ 0 เรียกว่า เมทริกซ์เอกฐาน
  • เมทริกซ์ที่มี det ไม่เท่ากับ 0 เรียกว่า เมทริกซ์ไม่เอกฐาน

ไมเนอร์

โคแฟกเตอร์

คุณสมบัติของดีเทอร์มิแนนต์

ให้ A, B เป็นเมทริกซ์ I เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์ n เป็นจำนวนเต็มบวก และ c เป็นค่าคงที่

1. ถ้า A มีแถวหรือหลักใดเป็น 0 ทั้งหมด แล้ว det⁡ A = 0
2. ถ้า A มีแถวหรือหลักใดซ้ำกัน แล้ว det ⁡A = 0
3. ถ้า A เป็นเมทริกซ์สามเหลี่ยมบน หรือสามเหลี่ยมล่าง แล้ว det ⁡A = ผลคูณของแนวทแยงมุมหลัก
4. det⁡(AB) = det⁡(A)∙det⁡(B)
5. det⁡(An)= (det⁡A)n
6. det⁡(I) = 1
7. det⁡(At) = det⁡(A)
8. ถ้า B เกิดจากการนำ c ไปคูณแถวหรือหลักหนึ่งของ A แล้ว det ⁡B = c det ⁡A
9. det⁡(cA) = cn det⁡ A เมื่อ A มีมิติ = n × n
10. det⁡(0) = 0
11. ถ้า B เกิดจากการสลับแถวหรือสลับหลักของ A แล้ว det⁡ B = -det ⁡A
12. ถ้า B เกิดจากการนำ c ไปคูณแถวหรือหลักหนึ่งของ A แล้วนำไปบวกกับแถวหรือหลักอื่นของ A
    จะได้ det⁡ B = det ⁡A

ตัวผกผันของเมทริกซ์

เมทริกซ์ผกผันของ A คือ เมทริกซ์ที่เมื่อนำมาคูณกับ A แล้วได้เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์
เมทริกซ์ผกผันของ A เขียนแทนด้วย A-1

จะได้ว่า                                      A A-1 = A-1 A = In


เมทริกซ์ 2 × 2


สมบัติของเมทริกซ์ผกผัน

การแก้ระบบสมการโดยใช้เมทริกซ์

การแก้ระบบสมการด้วยเมทริกซ์แต่งเติม

1. เขียนระบบสมการ ในรูปสมการเมทริกซ์ AX = B
2. แต่งเติมเมทริกซ์ A ด้วยเมทริกซ์ B แล้วใช้การดำเนินการตามแถว
   ทำให้เมทริกซ์ A กลายเป็นเมทริกซ์ขั้นบันไดแบบแถว โดยจะมีลักษณะดังนี้
       1.) ในแต่ละแถว ตัวเลขแรกที่ไม่ใช่ 0 ต้องเป็นเลข 1
       2.) ตัวเลขที่อยู่ใต้เลข 1 ตัวแรก ต้องเป็น 0
       3.) เลข 0 ที่อยู่ก่อนเลข 1 ตัวแรก จะต้องเพิ่มขึ้นทุกแถว
       4.) ถ้ามีแถวที่เป็น 0 ทั้งหมด แถวต่อ ๆ ไป ต้องเป็นศูนย์ทั้งหมด
3. เขียนระบบสมการใหม่ จากเมทริกซ์ขั้นบันไดแบบแถว จะได้ค่าของตัวแปร 1 ตัว
4. แทนค่าตัวแปรที่ได้ในสมการอื่น เพื่อหาค่าตัวแปรที่เหลือ

ตัวอย่าง

การแก้ระบบสมการด้วยกฎของเครเมอร์

1. เขียนระบบสมการ ในรูปสมการเมทริกซ์ AX = B
2. หา x1 โดยการหา det ของเมทริกซ์ที่เกิดจากการแทนที่หลักที่ 1 ของ A ด้วย B แล้วหารด้วย det A
3. หา xn โดยการหา det ของเมทริกซ์ที่เกิดจากการแทนที่หลักที่ n ของ A ด้วย B แล้วหารด้วย det A

ตัวอย่าง

คุยกันท้ายบท

       จะเห็นได้ว่า เมทริกซ์ ในคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 จะมีความเชื่อมโยงกับบทที่ผ่านมาคือ จำนวนจริง ซึ่งถ้าน้องคนไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงจากบทก่อนหน้านี้ ก็จะยิ่งสร้างปมปัญหาต่อมาถึงบทนี้ ดังนั้น ควรกลับไปทบทวน “จำนวนจริง” จะได้นำความรู้ความเข้าใจจากบทที่แล้ว มาต่อยอดได้ในเนื้อหาของบทนี้

       ที่สำคัญคือ อย่าลืมฝึกทำโจทย์บ่อย ๆ และใช้เวลาว่างบนหน้าเว็บไซต์ของ Panya Society ลองฝึกทำโจทย์ที่พี่ให้ไว้ หรือเข้าไปชมตัวอย่างวิดีโอการสอนต่าง ๆ พร้อมคิดคำนวณตามไปด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการทบทวนความรู้ครับ แล้วพบกันในบทต่อไป เข้มข้นยิ่งขึ้นกับ เวกเตอร์ มีรูปแบบการคิดแบบใหม่ สนุกแน่นอนครับผม 🙂

       พี่หวังว่า น้องๆจะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม. 5 เทอม 1 ไปตลอดทั้งเทอม ขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียน ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แวะไปชมเนื้อหาบทต่อไปของคณิตศาสตร์ ม. 5 เทอม 1 กันด้วยนะ…อย่าเทพี่นอตกลางทางนะครับ

บทที่ 1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ

บทที่ 3 เวกเตอร์

SHARE:

ฟิสิกส์ ม.4 – ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์​

PANYA SOCIETY

ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์

สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เรื่อง ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     เดินทางมาสู่บทที่ 1 ของฟิสิกส์ ม. 4 เทอม 1ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์ซึ่งนับว่าเป็นบทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนบทต่อ ๆ ไป ในวิชาฟิสิกส์ ม. ปลาย และในสถิติข้อสอบ TCAS สัดส่วนการออกข้อสอบบทนี้ในปีที่ผ่าน ๆ มา ของข้อสอบ 9 วิชาสามัญ พบความถี่ในการออกข้อสอบโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ข้อในทุกปี

       นับว่าบทเรียนฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เรื่อง ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์มีความสำคัญอย่างยิ่งที่น้อง ๆ จะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด และอัดพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือกับการทำข้อสอบที่มีความหลากหลาย และควรฝึกทำโจทย์ที่ประยุกต์หลายบทเข้าไว้ด้วยกัน ที่มีเนื้อหาร่วมกับบทนี้

      อย่างที่กล่าวข้างต้น ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์ ออกข้อสอบทุกปี ดังนั้น น้อง ๆ ก็ควรใช้เป็นข้อที่ทำคะแนนอย่างยิ่ง เพื่อให้การอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยคุ้มค่าที่สุด

ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์ มีหน่วยย่อย ดังนี้

  • กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
  • การวัดเชิงฟิสิกส์ 
  • การวัดและเลขนัยสำคัญ 
  • ค่าความคลาดเคลื่อน 
  • ทักษะทางวิทยาศาสตร์ 
  • ปริมาณเวกเตอร์ 
  • หน่วยของการวัด 
  • การบันทึกผลการทดลอง 

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ดังนี้

1. สังเกต, ตั้งคำถาม

2. ตั้งสมมุติฐาน

    – ตั้งให้เข้าใจได้ง่าย

    – มีแนวทางในการตรวจสอบได้

    – ตรวจสอบได้ด้วยการทดลอง

    – สอดคล้อง, อยู่ในขอบเขตของปัญหาที่เราตั้ง

3. การทดลอง

    – กำหนดตัวแปรต้น

    – กำหนดตัวแปรตาม

    – กำหนดตัวแปรควบคุม

4. วิเคราะห์ผล

5. สรุปผลการทดลอง

การวัดเชิงฟิสิกส์

การวัดจะสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือวัดต่าง ๆ แต่การอ่านค่าที่ได้จากเครื่องมือจะมีหลักการในการดูดังนี้

1) อ่านค่าจากเครื่องมือตามความละเอียดของเครื่องมือ

2) ประมาณตัวเลขเพิ่มความละเอียดจากเครื่องมือเพิ่มอีก 1 หลักตามความสามารถของผู้อ่านค่า

เช่น

อ่านค่าจากเครื่องมือได้ประมาณ 52 กว่า ๆ

ประมาณตัวเลขเพิ่มความละเอียดอีกหนึ่งหลัก อาจเป็น 52.1, 52.2, 52.3, 52.4 หรือ 52.x ก็ได้

ดังนั้น จะตอบค่าใด อยู่ที่การประมาณของผู้อ่านค่า

การวัดและเลขนัยสำคัญ

หลักการในการนับเลขนัยสำคัญ

1. ตัวเลข 1-9 นับเป็นนัยสำคัญหมด
2. เลข 0 หน้าเลขอื่นไม่นับ
3. เลข 0 ที่อยู่ระหว่างเลขอื่นและอยู่หลังเลขอื่นนับด้วย
4. เลข 0 ที่อยู่หลังเลขอื่นและไม่มีจุดทศนิยมจะกำกวม ให้ทำเป็นสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เพื่อให้ชัดเจน
เช่น    120  ทำให้มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัวได้ = 1.20 × 102
               ทำให้มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัวได้ = 1.2 × 102

การดำเนินการของนัยสำคัญ

หลักการบวก และการลบ

1. บวก, ลบกันธรรมดา

2. คำตอบจะมี ทศนิยม เท่ากับตัวเลขที่มี ทศนิยมน้อยสุด ของเลขที่นำมาบวกหรือลบกัน

3. การปัดเลข ถ้าเป็นเลข 5 ขึ้นไป ให้ปัดขึ้น ถ้าน้อยกว่า 5 ให้ปัดทิ้ง

เช่น   51.43 + 2.0 = ?

       51.43 + 2.0 = 53.43

       ตัวที่มีทศนิยมน้อยสุดคือ 2.0 มีทศนิยม 1 ตำแหน่ง ดังนั้นคำตอบต้องมีทศนิยม 1 ตำแหน่งเช่นกัน

       ตอบ 53.4 (เลข 3 โดนปัดทิ้ง)

หลักการคูณ และการหาร

1. คูณ, หารกันธรรมดา

2. คำตอบจะมีจำนวน เลขนัยสำคัญ เท่ากับตัวเลขที่มี นัยสำคัญน้อยสุด ของตัวเลขที่นำมาคูณหรือหารกัน

3. การปัดเลข ถ้าเป็นเลข 5 ขึ้นไป ให้ปัดขึ้น ถ้าน้อยกว่า 5 ให้ปัดทิ้ง

เช่น   27.5 × 2.0 = ?

       27.5 × 2.0 = 55.00

       27.5 มีนัยสำคัญ 3 ตัว

       2.0 มีนัยสำคัญ 2 ตัว (น้อยสุด)

      คำตอบต้องมีนัยสำคัญ 2 ตัว

      ตอบ 55

สัญกรณ์วิทยาศาสตร์

คือ การเขียนจำนวนใด ๆ ในรูป A × 10n โดยที่ 1 ≤ A < 10 และ n เป็นจำนวนเต็ม

มีหลักการเขียน 2 แบบ

  1. เลื่อนจุดทศนิยมไปทางซ้าย แล้วเลื่อนจุดไปกี่ตำแหน่ง ให้คูณ 10จำนวนตำแหน่งที่เลื่อนไป เพิ่มไป
  2. เลื่อนจุดทศนิยมไปทางขวา แล้วเลื่อนจุดไปกี่ตำแหน่ง ให้คูณ 10-(จำนวนตำแหน่งที่เลื่อนไป) เพิ่มไป

เช่น    102.1 × 10-6 เขียนเป็นสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ได้ โดย

                      เลื่อนจุดทศนิยมไปทางซ้าย 2 ตำแหน่ง แล้วคูณด้วย 102 เพิ่มไป
                      = 1.021 × 10-6 × 102 = 1.021 × 10-4

        0.5831 เขียนเป็นสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ได้ โดย

                     เลื่อนจุดทศนิยมไปทางขวา 1 ตำแหน่ง แล้วคูณด้วย 10-1 เพิ่มไป
                     = 5.831 × 10-1

ค่าความคลาดเคลื่อน

คือ ผลต่างระหว่างค่าที่วัดได้กับค่าที่แท้จริง ซึ่งโดยปกติค่าที่แท้จริงจะวัดได้ยาก จึงต้องหาค่าที่ใกล้เคียงกับค่าที่แท้จริง โดยวัดหลาย ๆ ครั้ง แล้วหาค่าเฉลี่ย และค่าความคลาดเคลื่อน

การคำนวณจำนวนที่มีค่าคลาดเคลื่อน

ทักษะทางวิทยาศาสตร์

ทักษะขั้นมูลฐาน

  1. การสังเกต
  2. การวัด
  3. การจำแนก, จัดประเภท
  4. ความสัมพันธ์ระหว่าง space และเวลา
  5. การคำนวณ, การใช้จำนวน
  6. การสื่อความหมายข้อมูล
  7. การลงความเห็นจากข้อมูล
  8. การพยากรณ์

ทักษะขั้นสูง

  1. การตั้งสมมุติฐาน
  2. การควบคุมตัวแปร
  3. การตีความหมาย และลงข้อสรุป
  4. การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
  5. การทดลอง

ปริมาณเชิงเวกเตอร์

Vector (เวกเตอร์)

คือ ปริมาณที่ต้องบอกทั้งขนาด และทิศทางถึงจะรู้เรื่อง

เช่น เลื่อนโต๊ะไปทางซ้าย 5 m, วิ่งไปทางขวา 10 m เป็นต้น


การรวมเวกเตอร์

เนื่องจากเวกเตอร์มีทั้งขนาด และทิศทาง การรวมจึงไม่เหมือนการรวมเลขธรรมดา

กรณีที่ 1 เวกเตอร์อยู่ในแนวเดียวกัน

สามารถใช้เทคนิคในการบวกลบแบบรรมดาได้ ด้วยการกำหนดทิศของ Vectorเป็นเครื่องหมายบวกหรือลบ

– ทิศเดียวกันนำขนาดมาบวกกัน ทิศมีทิศเดิม

– ทิศตรงข้ามกันนำขนาดมาลบกัน ทิศไปทางทิศที่มีขนาดเยอะกว่า

เช่น

กรณีที่ 2 เวกเตอร์ไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกัน

1.) ทั้ง 2 เวกเตอร์ตั้งฉากกัน หาเวกเตอร์ลัพธ์ได้จาก

2.) ทั้ง 2 เวกเตอร์ทำมุมไม่ตั้งฉากกัน หาเวกเตอร์ลัพธ์ได้จาก


การหาทิศของเวกเตอร์ลัพธ์

หน่วยของการวัด

หน่วยมูลฐาน (SI)

คือ หน่วยของปริมาณที่นักวิทยาศาสตร์ตกลงกันให้เป็นปริมาณพื้นฐานที่ใช้นำไปหาปริมาณอื่น ๆ

หน่วยมูลฐานมีอยู่ 7 ปริมาณ ดังนี้

  1. ความยาว                           หน่วยเป็น        เมตร (m)
  2. มวล                                 หน่วยเป็น        กิโลกรัม (kg)
  3. เวลา                                หน่วยเป็น         วินาที (s)
  4. กระแสไฟฟ้า                        หน่วยเป็น        แอมแปร์ (A)
  5. อุณหภูมิ                            หน่วยเป็น        เคลวิน (K)
  6. ปริมาณสาร                        หน่วยเป็น         โมล (mol)
  7. ความเข้มของการส่องสว่าง      หน่วยเป็น         แคนเดลา (cd)


หน่วยอนุพันธ์

คือ หน่วยที่เกิดจากการนำหน่วยมูลฐานมากระทำกัน

เช่น    – ปริมาตร = กว้าง × ยาว × สูง

                       มีหน่วยเป็น ความยาว × ความยาว × ความยาว = m3

         – ความเร็ว มีหน่วยเป็น km/hr

                     หรือถ้าจะให้เป็นหน่วย SI ก็จะมีหน่วยเป็น ความยาว/เวลา = m/s


คำนำหน้าหน่วย
(Prefix)

คือ คำที่นำมาใส่ลงไปหน้าหน่วยของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกในการพูดถึงค่าของสิ่งนั้น

คำนำหน้าหน่วยที่ควรรู้

p = 10-12

n = 10-9

µ = 10-6

m = 10-3

c = 10-2

d = 10-1

k = 103

M = 106

G = 109

T = 1012

การแปลงหน่วย

  1. คูณด้วยสัดส่วนที่เท่ากันทั้งเศษ และส่วนของแต่ละหน่วย
  2. หน่วยที่ต้องการหา ให้เป็น “เศษ”

เช่น

การบันทึกผลการทดลอง

การบันทึกผลการทดลองโดยใช้กราฟเพื่อดูความสัมพันธ์ของสิ่งที่เราทดลองได้อย่างชัดเจนขึ้น

สมมติการทดลองหนึ่ง

ใส่น้ำลงไปในบีกเกอร์ 200 ml , 400 ml , 600 ml นำไปชั่งจะได้มวลเฉลี่ย (รวมบีกเกอร์)

จากการชั่ง 5 รอบ ได้มวลเฉลี่ย 0.5 kg , 0.7 kg , 0.9 kg ตามลำดับ

และได้ค่าความคลาดเคลื่อน 0.1 , 0.2 , 0.1 ตามลำดับ


นำค่าเหล่านี้มาใส่ในกราฟ
 

โดยทั่วไปจะกำหนดให้ แกน x คือ สิ่งที่เราควบคุมได้ ในที่นี้คือ ปริมาตร

                        แกน y คือ สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ คือ มวล

จะได้กราฟดังนี้

จากกราฟ คล้ายสมการเส้นตรง จึงอาจใช้สมการ y = mx + c ในการหาความสัมพันธ์

คุยกันท้ายบท

       จะเห็นได้ว่า ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์ ในฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาฟิสิกส์ ซึ่งถ้าน้องคนไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงก็จะยิ่งสร้างปมปัญหาต่อมาถึงบทถัดไป ดังนั้น ควรทบทวน ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์ ให้คล่องที่สุด

       ที่สำคัญคือ อย่าลืมฝึกทำโจทย์บ่อย ๆ และใช้เวลาว่างบนหน้าเว็บไซต์ของ Panya Society ลองฝึกทำโจทย์ที่พี่ให้ไว้ หรือเข้าไปชมตัวอย่างวิดีโอการสอนต่าง ๆ พร้อมคิดคำนวณตามไปด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการทบทวนความรู้ครับ แล้วพบกันในบทต่อไป เข้มข้นยิ่งขึ้นกับ การเคลื่อนที่แนวตรง มีรูปแบบการคิดแบบใหม่ สนุกแน่นอนครับผม 🙂

       พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 ไปตลอดทั้งเทอม ขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียน ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แวะไปชมเนื้อหาบทต่อไปของฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 กันด้วยนะ…อย่าเทพี่แชร์กลางทางนะครับ

กลับหน้าบทความหลัก

บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง

ตัวอย่างการสอน โดยพี่แชร์

เรียนสนุก ทำโจทย์คล่อง สอบให้ติด

: คอร์สแนะนำ :

SHARE:

ฟิสิกส์ ม.4 – การเคลื่อนที่แนวตรง

PANYA SOCIETY

การเคลื่อนที่แนวตรง

สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     เดินทางมาสู่บทที่ 2 ของฟิสิกส์ ม. 4 เทอม 1การเคลื่อนที่แนวตรง ซึ่งนับว่าเป็นบทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนบทต่อ ๆ ไป ในวิชาฟิสิกส์ ม. ปลาย และในสถิติข้อสอบ TCAS สัดส่วนการออกข้อสอบบทนี้ในปีที่ผ่าน ๆ มา ของข้อสอบ 9 วิชาสามัญ พบความถี่ในการออกข้อสอบโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ข้อในทุกปี

       นับว่าบทเรียนฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง มีความสำคัญอย่างยิ่งที่น้อง ๆ จะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด และอัดพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือกับการทำข้อสอบที่มีความหลากหลาย และควรฝึกทำโจทย์ที่ประยุกต์หลายบทเข้าไว้ด้วยกันที่มีเนื้อหาร่วมกับบทนี้

      อย่างที่กล่าวข้างต้น การเคลื่อนที่แนวตรง ออกข้อสอบทุกปี ดังนั้น น้อง ๆ ก็ควรใช้เป็นข้อที่ทำคะแนนอย่างยิ่ง เพื่อให้การอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยคุ้มค่าที่สุด

การเคลื่อนที่แนวตรง มีหน่วยย่อย ดังนี้

  • การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง 
  • กราฟของการเคลื่อนที่ 
  • เครื่องเคาะสัญญาณเวลา 
  • การเคลื่อนที่แนวตรงที่มีความเร่งคงตัว 
  • การเคลื่อนที่แนวดิ่ง

การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง

การเคลื่อนที่แนวตรง (1 มิติ)

เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุตามแนวเส้นตรง มีปริมาณที่เกี่ยวข้องมีดังนี้

ตำแหน่ง            

คือ จุดที่วัตถุวางอยู่ ตำแหน่งที่เปลี่ยนแปลงจากการเคลื่อนที่จะบอกได้ด้วยการกำหนดจุดอ้างอิงและนำตำแหน่งของวัตถุเทียบกับจุดอ้างอิง

เช่น บ้านอยู่ห่างจากโรงเรียน 8 km (โรงเรียนคือจุดอ้างอิง) เป็นต้น


ระยะทาง (s)
   
   

คือ ความยาวของเส้นทาง (เส้นทางวัตถุที่เคลื่อนที่ไป) จากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุด

เป็นปริมาณสเกลาร์ หน่วย เมตร (m)


การกระจัด (เวกเตอร์ s)

คือ เวกเตอร์ที่ลากจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุดของการเคลื่อนที่

เป็นปริมาณเวกเตอร์ หน่วย เมตร (m)

         ระยะทาง = ขนาดของการกระจัด เมื่อเดินทางเป็นเส้นตรงทิศเดียว

         ระยะทาง > ขนาดของการกระจัด เมื่อมีการกลับทิศ

จะได้    ระยะทาง ≥ ขนาดของการกระจัด เสมอ


อัตราเร็ว (v)

คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา = ระยะทาง/เวลา

หน่วย เมตรต่อวินาที (m/s)


ความเร็ว (เวกเตอร์ v)

คือ การกระจัดที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา = การกระจัด/เวลา

หน่วย เมตรต่อวินาที (m/s)


ความเร่ง (เวกเตอร์ a)

คือ ความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งหน่วยเวลา = ความเร็ว/เวลา

หน่วย เมตรต่อวินาที2 (m/s2)

กราฟของการเคลื่อนที่

กราฟระหว่างการกระจัดและเวลา (s-t)

  • ความชันของกราฟ s-t คือ ความเร็ว


กราฟระหว่างความเร็วและเวลา (v-t)

  • พื้นที่ใต้กราฟของกราฟ v-t คือ การกระจัด (s)
  • ความชันของกราฟ v-t คือ ความเร่ง (a)


กราฟระหว่างความเร่งและเวลา (a-t)

  • พื้นที่ใต้กราฟของกราฟ a-t คือ ความเร็ว (v)

เครื่องเคาะสัญญาณเวลา

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยผูกกระดาษไว้กับวัตถุแล้วสอดกระดาษเข้าไปในเครื่องเคาะสัญญาณเวลา แล้วให้วัตถุเคลื่อนที่ไป โดยส่วนมากเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจะเคาะ 50 ครั้งต่อวินาที ดังนั้น เวลาระหว่างจุดเคาะ 2 จุดที่อยู่ติดกันจะเท่ากับ 1/50 วินาที

ซึ่งจะสามารถหาอัตราเร็ว และอัตราเร่งได้ ดังนี้

การเคลื่อนที่แนวตรงที่มีความเร่งคงตัว

กรณีไม่มีความเร่ง (a = 0)

จะมีความสัมพันธ์ระหว่าง การกระจัด ความเร็ว และเวลา คือ

การไม่มีความเร่ง โจทย์อาจใช้คำว่า มีความเร็วคงที่ หรือมีความเร็วคงตัวก็ได้


กรณีมีความเร่งคงตัวและความเร่งไม่เป็นศูนย์ (a คงที่ ≠ 0)

สูตรที่ใช้คำนวณการเคลื่อนที่แนวตรงที่มีความเร่งคงตัว จะมี 5 สูตร คือ

การใช้สูตรทั้ง 5 สูตรนี้ จะต้องรู้ค่าของตัวแปรในสูตรอย่างน้อย 3 ตัว เพื่อหาค่าของอีก 1 ตัวแปรที่เหลือ และเนื่องจากมีปริมาณเวกเตอร์อยู่ในสมการจึงต้องกำหนดทิศที่เป็นบวกด้วย ปริมาณใดมีทิศตรงข้ามกับทิศที่เป็นบวก ต้องแทนค่าตัวแปรเป็นค่าลบ (ในสูตรไม่ได้เขียนเครื่องหมายเวกเตอร์ไว้ เพื่อให้อ่านง่าย)

การเคลื่อนที่แนวดิ่ง

การเคลื่อนที่แนวดิ่ง คือ การเคลื่อนที่แนวตรงที่มีความเร่งเท่ากับ = g (ความเร่งโน้มถ่วง)

โดย g มีค่าประมาณ 9.8 m/s2 ≈ 10 m/s2

ซึ่งการเคลื่อนที่แนวดิ่ง สามารถใช้สูตรการเคลื่อนที่แนวตรงที่มีความเร่งคงตัว 5 สูตรได้ คือ

พิจารณาการโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศในแนวดิ่ง

คุยกันท้ายบท

       จะเห็นได้ว่า การเคลื่อนที่แนวตรง ในฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาฟิสิกส์ ซึ่งถ้าน้องคนไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงก็จะยิ่งสร้างปมปัญหาต่อมาถึงบทถัดไป ดังนั้น ควรทบทวน การเคลื่อนที่แนวตรง ให้คล่องที่สุด

       ที่สำคัญคือ อย่าลืมฝึกทำโจทย์บ่อย ๆ และใช้เวลาว่างบนหน้าเว็บไซต์ของ Panya Society ลองฝึกทำโจทย์ที่พี่ให้ไว้ หรือเข้าไปชมตัวอย่างวิดีโอการสอนต่าง ๆ พร้อมคิดคำนวณตามไปด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการทบทวนความรู้ครับ แล้วพบกันในบทต่อไป เข้มข้นยิ่งขึ้นกับ แรงและกฎการเคลื่อนที่ มีรูปแบบการคิดแบบใหม่ สนุกแน่นอนครับผม 🙂

       พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 ไปตลอดทั้งเทอม ขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียน ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แวะไปชมเนื้อหาบทต่อไปของฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 กันด้วยนะ…อย่าเทพี่แชร์กลางทางนะครับ

บทที่ 1 ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์

บทที่ 3 แรงและกฎการเคลื่อนที่

ตัวอย่างการสอน โดยพี่แชร์

เรียนสนุก ทำโจทย์คล่อง สอบให้ติด

: คอร์สแนะนำ :

SHARE:

สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1​

PANYA SOCIETY

สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1

สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

      พี่นอต แห่ง Panya Society ได้ฝากถึงน้อง ๆ ม.6 ทุก ๆ คนว่า “ตอนนี้น้อง ๆ ได้เรียนวิชาคณิตศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มาถึงปีสุดท้ายกันแล้ว และก็เดินทางมาถึงเทอม 1 ของเลข ม.6 ซึ่งเป็นวิชาที่น้อง ๆ หลายคนมักกลัวการคำนวณ แต่จาก ม.5 เทอม 2 ที่ผ่านมาทั้ง 3 บท ได้แก่ จำนวนเชิงซ้อน, หลักการนับเบื้องต้น และความน่าจะเป็น ทั้งหมดทุกบทไม่ได้มุ่งเน้นการคำนวณที่ยาก แต่เป็นการพยายามวัดตรรกะ ความรู้ ความเข้าใจ ความเป็นเหตุเป็นผล และการเชื่อมโยงข้อมูลมากกว่า
      ดังนั้น คณิตศาสตร์ ม.ปลาย ไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ เมื่อมาถึงบทใน ม.6 เทอม 1 นี้ สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ น้อง ๆ จะได้พบกับ 2 บท ได้แก่ ลำดับและอนุกรม และแคลคูลัสเบื้องต้น”

บทที่ 1 ลำดับและอนุกรม

  • นิยามของลำดับ
  • ลำดับเลขคณิต
  • ลำดับเรขาคณิต 
  • ลิมิตของลำดับ
  • นิยามของอนุกรม
  • เครื่องหมายซิกมา
  • อนุกรมเลขคณิต
  • อนุกรมเรขาคณิต
  • อนุกรม telescopic
  • การประยุกต์ของลำดับและอนุกรม

บทที่ 2 แคลคูลัสเบื้องต้น

  • ลิมิตของฟังก์ชัน
  • ความต่อเนื่องของฟังก์ชัน 
  • อนุพันธ์ของฟังก์ชัน
  • อนุพันธ์ของฟังก์ชันประกอบ
  • อนุพันธ์อันดับสูง
  • ความชันของเส้นโค้ง
  • การเคลื่อนที่แนวตรง
  • ฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลด
  • ค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดของฟังก์ชัน 
  • ปฏิยานุพันธ์
  • การหาปริพันธ์ไม่จำกัดเขต
  • การหาปริพันธ์จำกัดเขต
  • พื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง

     จากเนื้อหาทั้งหมดของคณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1 จะเห็นได้ว่าภาพรวมของเทอม 1 นี้จะเน้นเรื่องความเข้าใจของฟังก์ชัน กราฟ และการจัดระบบชุดความคิดเชิงข้อมูล โดยมีการคำนวณค่อนข้างเยอะ ดังนั้น สิ่งที่น้อง ๆ จำเป็นก็คือ ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจในพื้นฐาน และฝึกฝนการคำนวณด้วย      

       นอกจากนี้ น้อง ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเก็บเนื้อหาของทั้ง 2 บทนี้ ให้ครบถ้วนที่สุด เพราะเป็นบทสำคัญที่พบว่าออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็น PAT1 หรือ 9 วิชาสามัญมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรามาดูสถิติการออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยย้อนหลังในอดีต ของเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1 กันดีกว่าว่า 2 บทนี้ มีจำนวนข้อ และการออกบ่อยน้อย-มากแค่ไหนตามตารางนี้ครับ

สถิติข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาสามัญ ปี 2557-2565 เฉพาะ 2 บทของคณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1
สถิติข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย A - Level เฉพาะ 2 บทของคณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1

          น้อง ๆ คงเห็นแล้วว่า เนื้อหาของเลข ม.6 เทอม 1 ถูกพบอยู่ในข้อสอบเยอะขนาดนี้ แถมเนื้อหายังไม่ค่อยซับซ้อน อาศัยการคำนวนเบ้าง ทำให้น้อง ๆ สามารถเก็บคะแนนจากเนื้อหาส่วนนี้ได้โดยไม่ยาก พี่เลยอยากให้น้องทุกคนควรฟิตความรู้ของเลข ม.6 เทอม 1 และเตรียมตัวให้เข้าใจเนื้อหาการเรียนตั้งแต่วันนี้ เพื่อปูเป็นพื้นฐานในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้พร้อมที่สุด

         เพราะฉะนั้น พี่นอต แห่ง Panya Society ขอแนะนำคอร์ส คณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1 ซึ่งภายในบทเรียนจะประกอบไปด้วย เนื้อหาที่ปูพื้นฐานตั้งแต่ง่ายไปจนถึงระดับสูง เน้นฝึกให้นักเรียนเข้าใจ ไม่ต้องท่องจำ และอธิบายอย่างละเอียดโดยเชื่อมโยงระหว่างคณิตศาสตร์กับชีวิตจริง พร้อมแบบฝึกหัดทุกระดับทั้งง่าย-ยาก ทำให้มั่นใจได้ว่าหลังจากที่น้องได้เรียนเทคนิค Math Magic แล้วจะทำให้เข้าใจเนื้อหาอย่างละเอียด และเสกโจทย์ยากให้กลายเป็นง่ายได้แน่นอน

         คอร์สนี้เหมาะกับน้อง ๆ ระดับชั้น ม.6 ที่โรงเรียนใช้หลักสูตรใหม่ (2560) และเบื่อกับการเรียนเลขแบบท่องจำ แต่ดันทำโจทย์ไม่ได้ พี่นอตจะมาเสกให้น้องเข้าใจเนื้อหา และสนุกไปกับคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่การติวคณิตศาสาตร์เตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเช่น คณิตศาสตร์ A – Level ก็สามารถใช้ความรู้ ความเข้าใจจากการเรียนคอร์สนี้ได้เช่นกัน

         สุดท้ายนี้พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1 และขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนในเทอมนี้ครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไปครับ…

กลับหน้าบทความหลัก

ลำดับและอนุกรม

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.5 – ฟังก์ชันตรีโกณมิติ

PANYA SOCIETY

ฟังก์ชันตรีโกณมิติ

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     เดินทางมาสู่บทที่ 1 ของคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 “ฟังก์ชันตรีโกณมิติ” ก็นับว่าเป็นบทสำคัญอย่างยิ่งอีกเช่นกัน เพราะในสถิติข้อสอบ TCAS สัดส่วนการออกข้อสอบบทนี้ ในปีที่ผ่านๆมา ในข้อสอบ A – Level พบความถี่ในการออกข้อสอบสูงสุด โดยเฉลี่ยถึงประมาณ 3-4 ข้อในทุกปี

       นับว่าบทเรียนคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 เรื่อง “ฟังก์ชันตรีโกณมิติ” มีความสำคัญอย่างยิ่งที่น้อง ๆ จะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด และอัดพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือกับการทำข้อสอบที่มีความหลากหลาย และควรฝึกทำโจทย์ที่ประยุกต์หลายบทเข้าไว้ด้วยกัน ที่มีเนื้อหาร่วมกับบทนี้

      อย่างที่กล่าวข้างต้น ฟังก์ชันตรีโกณมิติ ออกข้อสอบหลายข้อจริง ๆ ดังนั้น น้อง ๆ ก็ควรใช้เป็นข้อที่ทำคะแนนอย่างยิ่ง เพื่อให้การอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยคุ้มค่าที่สุด

ฟังก์ชันตรีโกณมิติ มีหน่วยย่อย ดังนี้

  • ทบทวนบทเรียนเรื่องตรีโกณมิติ
  • มุมเรเดียนและวงกลมหนึ่งหน่วย 
  • ฟังก์ชันตรีโกณมิติ 
  • ทบทวนเครื่องหมายของฟังก์ชันตรีโกณมิติ 
  • กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ 
  • เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ 
  • สูตรตรีโกณมิติ
  • ตัวผกผันของฟังก์ชันตรีโกณมิติ 
  • สมการตรีโกณมิติ 
  • กฎของโคไซน์และกฎของไซน์ 
  • การแก้ปัญหาโดยใช้ตรีโกณมิติ 

ทบทวนบทเรียนเรื่องตรีโกณมิติ

มุมภายในของรูปสามเหลี่ยม

มุมภายในของรูปสามเหลี่ยม มีผลรวมเท่ากับ 180°

สามเหลี่ยมมุมฉาก

ทฤษฎีบทพีทาโกรัส

a2 + b2 = c2

สามเหลี่ยมคล้าย

สามเหลี่ยมสองรูป จะคล้ายกันเมื่อมีมุมเท่ากันทั้งสามคู่

△ AฺBC ~ △ DEF

จะได้ว่า อัตราส่วนของด้านที่อยู่ระหว่างมุมเดียวกัน จะมีอัตราส่วนเท่ากัน

เช่น


อัตราส่วนตรีโกณมิติ

***ข้อควรรู้***

เมื่อเรารู้ความยาวด้านสองด้านของสามเหลี่ยมมุมฉาก จะหาความยาวอีกด้านได้จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส ดังนั้น เราจะหาอัตราส่วนตรีโกณมิติทั้งหมดได้เสมอ เมื่อรู้ความยาวด้านเพียงสองด้าน


ค่าตรีโกณมิติของมุมที่พบบ่อย

กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ

– กราฟของ y = sin x

– กราฟของ y = cos x

– กราฟของ y = tan x

– กราฟของ y = cot x

– กราฟของ y = sec x

– กราฟของ y = cosec x


การแปลงกราฟของฟังก์ชันไซน์และโคไซน์

– คาบ คือ ความยาวของช่วงที่สั้นที่สุดที่ทำให้กราฟของฟังก์ชันมีลักษณะเหมือนกันกับช่วงอื่น ๆ
– แอมพลิจูด คือ ครึ่งหนึ่งของผลต่างระหว่างค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดของฟังก์ชัน

กำหนดให้ C เป็นค่าคงที่ ซึ่งไม่เท่ากับ 0

    • sin(Cx) หรือ cos(Cx) :       คาบ = 2π/|C|   เรนจ์ = [-1, 1]   แอมพลิจูด = 1

    • sin x + C หรือ cos x + C :   คาบ = 2π   เรนจ์ = [C-1, C+1]   แอมพลิจูด = 1

    • C sin x หรือ C cos x :       คาบ = 2π   เรนจ์ = [-|C|, |C|]   แอมพลิจูด = |C|    

เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ

กำหนดให้ n เป็นจำนวนเต็ม

sin2 θ + cos2 θ = 1

sec2 θ = tan2 θ + 1

cosec2 θ = cot2 θ + 1

sin (θ + 2nπ) = sin θ

cos (θ + 2nπ) = cos θ

tan (θ + 2nπ) = tan θ

sec (θ + 2nπ) = sec θ

cosec (θ + 2nπ) = cosec θ

cot (θ + 2nπ) = cot θ

sin (-θ ) = – sin θ

cos (-θ ) = cos θ

tan (-θ ) = – tan θ

sec (-θ ) = sec θ

cosec (-θ ) = – cosec θ

cot (-θ ) = – cot θ

สูตรตรีโกณมิติ

สูตรผลบวกและผลต่างของมุม

sin⁡(A+B) = sin⁡ A cos ⁡B + cos ⁡A sin ⁡B
sin⁡(A-B) = sin ⁡A cos ⁡B – cos ⁡A sin ⁡B
cos⁡(A+B) = cos⁡ A cos ⁡B – sin ⁡A sin⁡ B
cos⁡(A-B) = cos ⁡A cos ⁡B + sin ⁡A sin⁡ B
                                                   

 

 

สูตรมุมสองเท่า

sin⁡ 2A = 2 sin ⁡A cos ⁡A
cos⁡ 2A = cos2 A – sin2 A
          = 1 – 2 sin2 A
          = 2 cos2 A – 1                                                                               

สูตรมุมครึ่งเท่า

สูตรผลคูณของ sin กับ cos

2 cos⁡ A cos ⁡B = cos⁡(A+B) + cos(A-B)
-2 sin⁡A sin⁡B = cos⁡(A+B) – cos(A-B)
2 sin⁡A cos⁡B = sin⁡(A+B) + sin(A-B)
2 cos⁡A sin⁡B = sin⁡(A+B) – sin(A-B)

ตัวผกผันของฟังก์ชันตรีโกณมิติ

ตัวผกผันของฟังก์ชันตรีโกณมิติ เขียนแทนด้วย arc ตามด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ หรือ ฟังก์ชันตรีโกณมิติ-1

เช่น       จาก sin⁡ θ = 1 

           จะได้ arcsin(1) = θ = sin-1(1) = 90°

เรนจ์ของฟังก์ชัน arc

arcsin : [-90°, 90°]
arctan : (-90°, 90°)
arccosec : [-90°, 90°] – {0°}

arccos : [0°, 180°]
arccot : (0°, 180°)
arcsec : [0°, 180°] – {90°}

เทคนิคการหาค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติผกผัน

1. ไม่สนใจเครื่องหมายของค่าในฟังก์ชันตรีโกณมิติผกผัน ให้หาค่า θ ของค่าบวกก่อน
2. พิจารณาว่า θ ควรอยู่ในจตุภาคใด โดยดูจากเรนจ์ของฟังก์ชันตรีโกณมิติผกผันนั้น

ตัวอย่างโจทย์

จงหา sec -1(-2)  เฉลย

เทคนิคการหาค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติจากมุม arc

1. กำหนดมุม arc เป็นมุม θ
2. วาดรูปสามเหลี่ยมมุมฉากของมุม α ซึ่งมีค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ เท่ากับ |ค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติของมุม θ|
3. หาค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติที่ต้องการ จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉากของมุม α
4. พิจารณาเครื่องหมายของค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติที่ต้องการ โดยการพิจารณาว่ามุม θ อยู่จตุภาคใด

ตัวอย่างโจทย์

จงหา sin(2 arctan (2))  เฉลย

สมการตรีโกณมิติ

เทคนิคการแก้สมการตรีโกณมิติ

1. เปลี่ยน cosec, sec, cot ไปเป็น sin, cos, tan
2. ปรับสมการให้เหลือฟังก์ชันตรีโกณมิติน้อยที่สุด
3. ใช้สูตรหรือเอกลักษณ์ตรีโกณมิติต่าง ๆ ปรับสมการให้อยู่ในรูป ผลคูณ = 0
4. ใช้การแก้สมการตัวแปรเดียวหรือการแก้สมการพหุนาม มาช่วยแก้
   เช่น    tan2 ⁡θ – 3 tan ⁡θ + 2 = 0
          (tan ⁡θ – 2)(tan ⁡θ – 1) = 0
5. ตรวจเครื่องหมายของคำตอบและช่วงของคำตอบให้ดี เพื่อให้ได้คำตอบครบ ถูกต้อง และไม่เกิน

ตัวอย่างโจทย์

จงแก้สมการ cos 2θ + 5 sin θ + 2 = 0   เฉลย

กฎของไซน์และกฎของโคไซน์

กฎของไซน์

กฎของโคไซน์

a2 = c2 + b2 – 2bc cos A

การแก้ปัญหาโดยใช้ตรีโกณมิติ

1. วาดรูป เพื่อให้เห็นภาพและสามารถวิเคราะห์โจทย์ได้ง่ายขึ้น
2. หาข้อมูลที่เรารู้จากโจทย์
3. ตีความโจทย์ ว่าต้องการให้หาอะไร
4. ใช้ความรู้เกี่ยวกับตรีโกณมิติในการแก้ปัญหา

ตัวอย่างโจทย์

เจนนี่ยืนอยู่บนสนามแห่งหนึ่งมองเห็นยอดเสาธงเป็นมุมเงย 15° แต่เมื่อตรงเข้าไปหาเสาธงอีก 60 เมตร เขามองเห็นยอดเสาธงเป็นมุมเงย 75° ถ้าเจนนี่สูง 165° เซนติเมตร จงหาความสูงของเสาธง

 เฉลย

คุยกันท้ายบท

       จะเห็นได้ว่า ฟังก์ชันตรีโกณมิติ ในคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 จะมีความเชื่อมโยงกับบทที่ผ่านมาคือ ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน ซึ่งถ้าน้องคนไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงจากบทที่แล้ว ก็จะยิ่งสร้างปมปัญหาต่อมาถึงบทนี้ ดังนั้น ควรกลับไปทบทวน ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน จะได้นำความรู้ความเข้าใจจากบทที่แล้ว มาต่อยอดได้ในเนื้อหาของบทนี้

       ที่สำคัญคือ อย่าลืมฝึกทำโจทย์บ่อย ๆ และใช้เวลาว่างบนหน้าเว็บไซต์ของ Panya Society ลองฝึกทำโจทย์ที่พี่ให้ไว้ หรือเข้าไปชมตัวอย่างวิดีโอการสอนต่าง ๆ พร้อมคิดคำนวณตามไปด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการทบทวนความรู้ครับ แล้วพบกันในบทต่อไป เข้มข้นยิ่งขึ้นกับเมทริกซ์ มีรูปแบบการคิดแบบใหม่ สนุกแน่นอนครับผม 🙂

       พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 ไปตลอดทั้งเทอม ขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียน ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แวะไปชมเนื้อหาบทต่อไปของคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 กันด้วยนะ…อย่าเทพี่แชร์และพี่ปิงกลางทางนะครับ

กลับหน้าบทความหลัก

บทที่ 2 เมทริกซ์

SHARE:

สรุปเนื้อหาเคมี ม.6

PANYA SOCIETY

สรุปเนื้อหาเคมี ม.6

สรุปเนื้อหาเคมี ม.6

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ทุกคนเข้าสู่บทความสรุปเนื้อหาวิชาเคมี มัธยมปลาย จากพี่นัท แห่ง Panya Society นะครับ วันนี้พี่นัทจะขอเสนอเนื้อหาของวิชาเคมี ม.6 โดยเป็นปีที่ 3 ของน้อง ๆ ทุกคนที่เรียนเคมี มัธยมปลายจะได้เรียนกันนะครับ ซึ่งเนื้อหาของเคมี ม.6 นั้นจะมีเนื้อหาที่เข้มข้น และซับซ้อนขึ้นมาอีกระดับ และถือเป็นเนื้อหาที่สำคัญในการต่อยอดไปยังเนื้อหาวิชาเคมี ระดับชั้นมัธยมปลายหลังจากนี้รวมไปถึงในระดับมหาวิทยาลัยบางคณะอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วพี่นัท จึงอยากให้น้อง ๆ ทุกคนตั้งใจและเก็บรายละเอียดให้ดีเพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนระดับชั้นมัธยมปลายนะครับ

      คราวนี้มาดูเนื้อหาพอสังเขปของเคมี ม.6ดีกว่าว่าน้อง ๆ จะพบกับบทเรียนอะไรกันบ้าง?

บทที่ 1 เคมีอินทรีย์

  • การเขียนสูตรโครงสร้างของสารอินทรีย์
  • การจำแนกสารอินทรีย์
  • ไอโซเมอริซึม (isomerism)
  • หมู่ฟังก์ชัน (functional group)
  • แอลเคน (alkane)
  • แอลคีน (alkene)
  • แอลไคน์ (alkyne)
  • อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (aromatic hydrocarbon)
  • แอลกอฮอล์ (alcohol)
  • อีเทอร์ (ether)
  • แอลดีไฮด์และคีโทน (aldehyde and ketone)
  • กรดคาร์บอกซิลิก (carboxylic acid)
  • เอสเทอร์ (ester)
  • เอมีน (amine)
  • เอไมด์ (amide)

บทที่ 2 พอลิเมอร์

  • พอลิเมอร์ (polymer)
  • พอลิเมอร์แบบควบแน่น (condensation polymer)
  • พอลิเมอร์แบบเติม (addition polymer)
  • พลาสติก (plastic)
  • ยาง (rubber)

     จากภาพรวมของเนื้อหาเคมี ม.6 จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นการต่อยอดมาจากความรู้ในบทก่อนหน้า แต่มีเนื้อหาเชิงบรรยายมากขึ้นกว่าเดิม เน้นในเรื่องความเข้าใจและตรรกะความคิด และมีการคำนวนอยู่บ้างแต่ไม่ซับซ้อนมากนัก คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าเนื้อหาของเคมี ม.6 นี้ถูกนำไปออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาก-น้อย และบ่อยแค่ไหนกันครับ

สถิติข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาสามัญ ปี 2564-2565 เฉพาะ 2 บทของเคมี ม.6
สถิติข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาสามัญ ปี 2564-2565 เฉพาะ 2 บทของเคมี ม.6

     จากสถิติข้างต้นเนื้อหาของเคมี ม.6 เนื้อหาของเรื่องเคมีอินทรีย์ และพอลิเมอร์ของวิชาเคมี ม.ปลาย จะออกประมาณบทละ 3 – 6 ข้อ และเนื้อหาเคมี ม.6 เป็นเนื้อหาที่สำคัญในการเรียนเคมี ม.ปลาย รวมไปถึงระดับมหาวิทยาลัยในบางคณะ เช่น เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น อีกทั้งเนื้อหาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน มีการคำนวนแต่ไม่ยากมาก ทำให้เป็นข้อที่น้อง ๆ สามารถเก็บคะแนนได้ฟรี ๆ โดยอาศัยความเข้าใจเพียงเท่านั้น อย่าลืมว่าคะแนนทุกคะแนนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นน้อง ๆ ควรจำเป็นอย่างยิ่งในการเข้าใจพื้นฐานของเนื้อหาเคมี ม.6 เพื่อเก็บคะแนนจากส่วนนี้ไปให้ได้

     ดังนั้นพี่นัท ขอแนะนำคอร์สเคมี ม.6 จากทาง Panya Society ที่ภายในบทเรียนจะประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น มีการปูพื้นฐานตั้งแต่ง่ายไปจนถึงระดับยาก เน้นความเข้าใจ ไม่เน้นการท่องจำ พร้อมทั้งแบบฝึกหัด รวมไปถึงตัวอย่างข้อสอบจากข้อสอบจริงในการสอบเข้าระดัมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็น 9 วิชาสามัญ เคมี และ PAT2 ทำให้คอร์สนี้เหมาะกับน้อง ๆ ที่อยู่ชั้น ม.6 ที่โรงเรียนใช้หลักสูตรใหม่ (2560) ที่เบื่อกับการเรียนเคมีแบบท่องจำ แต่ดันทำโจทย์ไม่ได้ หรือไปเรียนพิเศษเคมีจากที่อื่นมาแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ให้เพื่อนติวเคมีให้แล้วก็ยังปวดหัว คอร์สนี้ พี่นัท จะมาช่วยทำให้น้องเข้าใจเนื้อหา ด้วยการเรียนเคมีอย่างบูรณาการ ทำให้น้อง ๆ สนุกไปกับการเรียนเคมี หรือแม้แต่การเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สามารถใช้ความรู้ ความเข้าใจจากการเรียนคอร์สนี้ได้เช่นกัน

     สุดท้ายนี้พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนเคมี ม.6 และขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ครับ แล้วพบกันในบทความถัดไปนะครับ 🙂

กลับหน้าบทความหลัก

เคมีอินทรีย์

ตัวอย่างการสอน โดยพี่นัท

เรียนสนุก ทำโจทย์คล่อง สอบให้ติด

: คอร์สแนะนำ :

SHARE:

สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1​

PANYA SOCIETY

สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1

สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ทุกคนเข้าสู่บทความสรุปเนื้อหาวิชาฟิสิกส์ มัธยมปลาย จากพี่แชร์ แห่ง Panya Society นะครับ วันนี้พี่แชร์จะขอเสนอเนื้อหาของวิชาฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 โดยเป็นปีที่ 3 ในฟิสิกส์ มัธยมปลายที่จะได้เรียนกันนะครับ หลังจากผ่านวิชาฟิสิกส์ในชั้นมัธยมปลายกันมาแล้ว 2 ปี เนื้อหาของฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 นั้นจะมีเนื้อหาที่เข้มข้น และซับซ้อนขึ้นมาอีกระดับ และเนื้อหาของวิชาฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 นั้นถือเป็นเนื้อหาที่สำคัญในการต่อยอดไปยังเนื้อหาวิชาฟิสิกส์ ระดับชั้นมัธยมปลายหลังจากนี้รวมไปถึงในระดับมหาวิทยาลัยบางคณะอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วพี่แชร์ จึงอยากให้น้อง ๆ ทุกคนตั้งใจและเก็บรายละเอียดให้ดีเพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนระดับชั้นมัธยมปลายนะครับ

      คราวนี้มาดูเนื้อหาพอสังเขปของ ม. 6 เทอม 1 ดีกว่าว่าน้อง ๆ จะพบกับบทเรียนอะไรกันบ้าง?

บทที่ 1 แม่เหล็กและไฟฟ้า

  • สนามแม่เหล็กและฟลักซ์แม่เหล็ก 
  • แรงแม่เหล็ก 
  • โมเมนต์ของแรงคู่ควบ 
  • กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ 
  • หม้อแปลงไฟฟ้า 
  • วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ

บทที่ 2 ความร้อนและแก๊ส

  • ความร้อน
  • ความจุความร้อน 
  • แก๊สอุดมคติ 
  • ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส 
  • กฎของอุณหพลศาสตร์

บทที่ 3 ของแข็งและของไหล

  • สภาพยืดหยุ่น
  • ความตึงผิวและความหนืด 
  • ความดัน 
  • กฎของพาสคัล 
  • แรงพยุง 
  • พลศาสตร์ของของไหล

     จากภาพรวมของเนื้อหาฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาใหม่ที่อาจยังไม่คุ้นเคย และมีเนื้อหาที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม เน้นในเรื่องความเข้าใจและตรรกะความคิด ยังไม่ค่อยมีการคำนวนที่ซับซ้อนมากนัก คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าเนื้อหาของฟิสกส์ ม.6 เทอม 1 นี้ถูกนำไปออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาก-น้อย และบ่อยแค่ไหนกันครับ

สถิติข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาสามัญ ปี 2560-2565 เฉพาะ 3 บทของฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1
สถิติข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาสามัญ ปี 2560-2565 เฉพาะ 3 บทของฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1

     จากสถิติข้างต้นเนื้อหาของฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 เนื้อหาของเรื่องแม่เหล็กและไฟฟ้า ความร้อนและแก๊ส ของแข็งและของไหล ของวิชาฟิสิกส์ ม.ปลาย จะออกประมาณบทละ 2 – 4 ข้อ และเนื้อหาฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 เป็นเนื้อหาที่สำคัญในการเรียนฟิสิกส์ ม.ปลาย รวมไปถึงระดับมหาวิทยาลัยในบางคณะ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น อีกทั้งเนื้อหาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ค่อยมีการคำนวน ทำให้เป็นข้อที่น้อง ๆ สามารถเก็บคะแนนได้ฟรี ๆ โดยอาศัยความเข้าใจเพียงเท่านั้น อย่าลืมว่าคะแนนทุกคะแนนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นน้อง ๆ ควรจำเป็นอย่างยิ่งในการเข้าใจพื้นฐานของเนื้อหาฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 เพื่อเก็บคะแนนจากส่วนนี้ไปให้ได้

     ดังนั้นพี่แชร์ ขอแนะนำคอร์สฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 จากทาง Panya Society ที่ภายในบทเรียนจะประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น มีการปูพื้นฐานตั้งแต่ง่ายไปจนถึงระดับยาก เน้นความเข้าใจ ไม่เน้นการท่องจำ พร้อมทั้งแบบฝึกหัด รวมไปถึงตัวอย่างข้อสอบจากข้อสอบจริงในการสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็น 9 วิชาสามัญ ฟิสิกส์ และ PAT2 ทำให้คอร์สนี้เหมาะกับน้อง ๆ ที่อยู่ชั้น ม.6 ที่โรงเรียนใช้หลักสูตรใหม่ (2560) ที่เบื่อกับการเรียนฟิสิกส์แบบท่องจำ แต่ดันทำโจทย์ไม่ได้ หรือไปเรียนพิเศษฟิสิกส์จากที่อื่นมาแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ให้เพื่อนติวฟิสิกส์ให้แล้วก็ยังปวดหัว คอร์สนี้ พี่แชร์ จะมาช่วยทำให้น้องเข้าใจเนื้อหา ด้วยการเรียนฟิสิกส์อย่างบูรณาการ ทำให้น้อง ๆ สนุกไปกับการเรียนฟิสิกส์ หรือแม้แต่การเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สามารถใช้ความรู้ ความเข้าใจจากการเรียนคอร์สนี้ได้เช่นกัน

     สุดท้ายนี้พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนฟิสิกส์ ม.6 เทอม 1 และขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ครับ แล้วพบกันในบทความถัดไปนะครับ 🙂

กลับหน้าบทความหลัก

แม่เหล็กและไฟฟ้า

ตัวอย่างการสอน โดยพี่แชร์

SHARE:

สรุปเนื้อหาเคมี ม.4 เทอม 1​

PANYA SOCIETY

สรุปเนื้อหาเคมี ม.4 เทอม 1

สรุปเนื้อหาเคมี ม.4 เทอม 1

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ทุกคนเข้าสู่บทความสรุปเนื้อหาวิชาเคมี มัธยมปลาย จากพี่นัท แห่ง Panya Society นะครับ วันนี้พี่นัทจะขอเสนอเนื้อหาของวิชาเคมี ม.4 เทอม 1 โดยเป็นเทอมแรกที่น้อง ๆ ทุกคนที่เรียนเคมี มัธยมปลายจะได้เรียนกันนะครับ หลังจากผ่านวิชาวิทยาศาสตร์ในชั้นมัธยมต้นกันมาแล้ว เนื้อหาของเคมี มัธยมปลายนั้นจะมีเนื้อหาที่เข้มข้น และซับซ้อนขึ้นมาอีกระดับ และเนื้อหาของวิชาเคมี ม.4 เทอม 1 นั้นถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการต่อยอดไปยังเนื้อหาวิชาเคมี ระดับชั้นมัธยมปลายไปอีก 3 ปี หลังจากนี้รวมไปถึงในระดับมหาวิทยาลัยบางคณะอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วพี่นัท จึงอยากให้น้อง ๆ ทุกคนตั้งใจและเก็บรายละเอียดให้ดีเพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนระดับชั้นมัธยมปลายนะครับ

      คราวนี้มาดูเนื้อหาพอสังเขปของเคมี ม.4 เทอม 1 ดีกว่าว่าน้อง ๆ จะพบกับบทเรียนอะไรกันบ้าง?

บทที่ 1 ความปลอดภัยและทักษะในปฏิบัติการเคมี

  • ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี
  • อุบัติเหตุจากสารเคมี
  • การวัดปริมาณสาร
  • หน่วยวัด
  • วิธีการทางวิทยาศาสตร์

บทที่ 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ

  • แบบจำลองอะตอม 
  • อนุภาคในอะตอม
  • สัญลักษณ์นิวเคลียร์
  • ไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์ 
  • ลักษณะความเป็นคลื่นของแสง
  • แบบจำลองอะตอมของโบร์
  • การจัดเรียงอิเล็กตรอน
  • การจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานย่อย
  • แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก
  • ตารางธาตุ
  • สมบัติของธาตุตามตารางธาตุ
  • พลังงานไอออไนเซชัน
  • สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน
  • Electronegativity
  • จุดเดือดและจุดหลอมเหลว
  • เลขออกซิเดชัน
  • สมบัติของธาตุหมู่หลัก
  • ธาตุแทรนซิชัน
  • ธาตุกัมมันตรังสี
  • สมบัติของสารประกอบ

บทที่ 3 พันธะเคมี

  • พันธะโลหะ
  • พันธะไอออนิก
  • พันธะโคเวเลนต์

     จากภาพรวมของเนื้อหาเคมี ม.4 เทอม 1 จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นการต่อยอดมาจากความรู้ในระดับชั้นมัธยมต้น แต่มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม เน้นในเรื่องความเข้าใจและตรรกะความคิด ยังไม่ค่อยมีการคำนวนที่ซับซ้อนมากนัก คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าเนื้อหาของเคมี ม.4 เทอม 1 นี้ถูกนำไปออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาก-น้อย และบ่อยแค่ไหนกันครับ

สถิติข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาสามัญ ปี 2564-2565 เฉพาะ 3 บทของเคมี ม.4 เทอม 1
สถิติข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาสามัญ ปี 2564-2565 เฉพาะ 3 บทของเคมี ม.4 เทอม 1

     จากสถิติข้างต้นเนื้อหาของเคมี ม.4 เทอม 1 เนื้อหาของเรื่องความปลอดภัยและทักษะในปฏิบัติการเคมี อะตอมและสมบัติของธาตุ และพันธะเคมีของวิชาเคมี ม.ปลาย จะออกประมาณบทละ 1 – 4 ข้อ และเนื้อหาเคมี ม.4 เทอม 1 เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนเคมี ม.ปลาย รวมไปถึงระดับมหาวิทยาลัยในบางคณะ เช่น เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น อีกทั้งเนื้อหาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ค่อยมีการคำนวน ทำให้เป็นข้อที่น้อง ๆ สามารถเก็บคะแนนได้ฟรี ๆ โดยอาศัยความเข้าใจเพียงเท่านั้น อย่าลืมว่าคะแนนทุกคะแนนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นน้อง ๆ ควรจำเป็นอย่างยิ่งในการเข้าใจพื้นฐานของเนื้อหาเคมี ม.4 เทอม 1 เพื่อเก็บคะแนนจากส่วนนี้ไปให้ได้

     ดังนั้นพี่นัท ขอแนะนำคอร์สเคมี ม.4 เทอม 1 จากทาง Panya Society ที่ภายในบทเรียนจะประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น มีการปูพื้นฐานตั้งแต่ง่ายไปจนถึงระดับยาก เน้นความเข้าใจ ไม่เน้นการท่องจำ พร้อมทั้งแบบฝึกหัด รวมไปถึงตัวอย่างข้อสอบจากข้อสอบจริงในการสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็น 9 วิชาสามัญ เคมี และ PAT2 ทำให้คอร์สนี้เหมาะกับน้อง ๆ ที่อยู่ชั้น ม.4 ที่โรงเรียนใช้หลักสูตรใหม่ (2560) ที่เบื่อกับการเรียนเคมีแบบท่องจำ แต่ดันทำโจทย์ไม่ได้ หรือไปเรียนพิเศษเคมีจากที่อื่นมาแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ให้เพื่อนติวเคมีให้แล้วก็ยังปวดหัว คอร์สนี้ พี่นัท จะมาช่วยทำให้น้องเข้าใจเนื้อหา ด้วยการเรียนเคมีอย่างบูรณาการ ทำให้น้อง ๆ สนุกไปกับการเรียนเคมี หรือแม้แต่การเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สามารถใช้ความรู้ ความเข้าใจจากการเรียนคอร์สนี้ได้เช่นกัน

     สุดท้ายนี้พี่หวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนเคมี ม.4 เทอม 1 และขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ครับ แล้วพบกันในบทความถัดไปนะครับ 🙂

กลับหน้าบทความหลัก

ความปลอดภัยและทักษะในปฏิบัติการเคมี

ตัวอย่างการสอน โดยพี่นัท

เรียนสนุก ทำโจทย์คล่อง สอบให้ติด

: คอร์สแนะนำ :

SHARE: