สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1

PANYA SOCIETY

สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ทุกคนเข้าสู่บทความสรุปเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ มัธยมปลาย จากพี่นอตแห่ง Panya Society นะครับ วันนี้พี่นอตจะขอเสนอเนื้อหาของวิชาคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1 โดยเป็นเทอมแรกที่น้อง ๆ ทุกคนที่เรียนคณิตศาสตร์ มัธยมปลายจะได้เรียนกันนะครับ หลังจากผ่านวิชาคณิตศาสตร์ในชั้นมัธยมต้นกันมาแล้ว เนื้อหาของคณิตศาสตร์ มัธยมปลายนั้นจะมีเนื้อหาที่เข้มข้น และซับซ้อนขึ้นมาอีกระดับ และเนื้อหาของวิชาคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1 นั้นถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการต่อยอดไปยังเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมปลายไปอีก 3 ปี หลังจากนี้รวมไปถึงในระดับมหาวิทยาลัยบางคณะอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วพี่นอตจึงอยากให้น้อง ๆ ทุกคนตั้งใจและเก็บรายละเอียดให้ดีเพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนระดับชั้นมัธยมปลายนะครับ

คราวนี้มาดูเนื้อหาพอสังเขปของเทอม 1 ดีกว่าว่าน้อง ๆ จะพบกับบทเรียนอะไรกันบ้าง?

คณิตศาสตร์รายเทอม

29 Videos
  • ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเซต
  • แผนภาพเวนน์ออยเลอร์
  • การดำเนินการระหว่างเซต
  • คุณสมบัติของการดำเนินการระหว่างเซต
  • การแก้ปัญหาโดยใช้เซต
  • ประพจน์
  • ค่าความจริงของประพจน์
  • การเชื่อมประพจน์
  • การสมมูลและนิเสธของประพจน์
  • สัจนิรันดร์และการอ้างเหตุผล
  • ตัวบ่งปริมาณและประโยคเปิด
บทที่ 3 จำนวนจริง
  • ระบบจำนวนจริง และสมบัติของระบบจำนวนจริง
  • พหุนาม
  • การแยกตัวประกอบของพหุนาม
  • สมการพหุนาม
  • อสมการพหุนาม
  • ค่าสัมบูรณ์

จากภาพรวมของเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1 จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นการต่อยอดมาจากความรู้ในระดับชั้นมัธยมต้น แต่มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม เน้นในเรื่องความเข้าใจ และตรรกะความคิด ยังไม่ค่อยมีการคำนวนที่ซับซ้อนมากนัก คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าเนื้อหาของเลข ม.4 เทอม 1 นี้ถูกนำไปออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาก-น้อย และบ่อยแค่ไหนกันครับ

ชื่อบทA – Level 66A – Level 67
เซต11
ตรรกศาสตร์22
จำนวนจริง22

 

จากสถิติข้างต้นเนื้อหาของคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1 เนื้อหาของเรื่องเซตและตรรกศาสตร์อาจจะถูกพบได้ค่อนข้างน้อยในการสอบ A – Level แต่เนื้อหาของเรื่องจำนวนจริงมักจะถูกพบได้บ่อยกว่า และมีจำนวนข้อที่เยอะเมื่อเทียบจากเนื้อหาอื่น ๆ ของวิชาคณิตศาสตร์ ม.ปลาย แต่ถึงจะถูกพบได้น้อยในการสอบ A – Level เนื้อหาของเรื่องเซตและตรรกศาสตร์กลับเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนคณิตศาสตร์ ม.ปลาย รวมไปถึงระดับมหาวิทยาลัยในบางคณะ เช่น วิทยาการคอมพิวเตอร์ สถิติประยุกต์ คณิตศาสตร์ประยุกต์ เป็นต้น อีกทั้งเนื้อหาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ค่อยมีการคำนวน ทำให้เป็นข้อที่น้อง ๆ สามารถเก็บคะแนนได้ฟรี ๆ โดยอาศัยความเข้าใจเพียงเท่านั้น อย่าลืมว่าคะแนนทุกคะแนนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นน้อง ๆ ควรจำเป็นอย่างยิ่งในการเข้าใจพื้นฐานของเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1 เพื่อเก็บคะแนนจากส่วนนี้ไปให้ได้

ดังนั้นพี่นอตขอแนะนำคอร์สคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1 จากทาง Panya Society ที่ภายในบทเรียนจะประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น มีการปูพื้นฐานตั้งแต่ง่ายไปจนถึงระดับยาก เน้นความเข้าใจ ไม่เน้นการท่องจำ พร้อมทั้งแบบฝึกหัด รวมไปถึงตัวอย่างข้อสอบจากข้อสอบจริงในการสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย ทำให้คอร์สนี้เหมาะกับน้อง ๆ ที่อยู่ชั้น ม.4 ที่โรงเรียนใช้หลักสูตรใหม่ (2560) ที่เบื่อกับการเรียนคณิตฯแบบท่องจำ แต่ดันทำโจทย์ไม่ได้ หรือไปเรียนพิเศษคณิตศาสตร์จากที่อื่นมาแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ให้เพื่อนติวคณิตฯให้แล้วก็ยังปวดหัว คอร์สนี้ พี่นอต จะมาช่วยทำให้น้องเข้าใจเนื้อหา ด้วยการเรียนคณิตศาสตร์อย่างบูรณาการ ทำให้น้อง ๆ สนุกไปกับการเรียนคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่การเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สามารถใช้ความรู้ ความเข้าใจจากการเรียนคอร์สนี้ได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้พี่ทั้งสองคนหวังว่า น้อง ๆ จะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 1 และขอให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ครับ แล้วพบกันในบทความถัดไปนะครับ 🙂

กลับหน้าบทความหลัก

เซต

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.4 – เรขาคณิตวิเคราะห์ และภาคตัดกรวย

PANYA SOCIETY

เรขาคณิตวิเคราะห์ และภาคตัดกรวย

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

แล้วเราก็เดินทางมาสู่บทที่ 3 ของการสรุปเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ ม. 4 เทอม 2เรขาคณิตวิเคราะห์ และภาคตัดกรวย” เป็นบทสุดท้ายของการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเทอม 2 ในบทนี้น้องๆได้สนุกกับการเรียนรู้วิชาเลขที่มี “ภาพของกราฟ” อันหลากหลายให้น้องๆได้สนุกกับการทำโจทย์ครับ

จากสถิติที่ผ่านมา การออกข้อสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย TCAS เนื้อหาในส่วนนี้ก็มักจะปรากฏให้เห็นอยู่ประมาณ 3 ข้อเป็นประจำ ใน A – Level แสดงให้เห็นว่า คณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 เรื่อง “เรขาคณิตวิเคราะห์ และภาคตัดกรวย” นั้นมีความสำคัญไม่แพ้บทอื่นๆ น้องๆควรจะต้องทำความเข้าใจเนื้อหา และพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือในการทำข้อสอบ และคว้าคะแนนจากบทนี้มาให้ได้

และน้องๆที่มีความสนใจในเรื่องรูป การวาดกราฟ และความเชื่อมโยงของสมการ และรูปกราฟ น่าจะเป็นอีกบทที่เรียนก็สนุก และทำโจทย์ก็ได้เชาว์ปัญญาไปด้วย สร้างทักษะให้กับน้องๆในการอ่านกราฟมากยิ่งขึ้นด้วยครับผม

เนื้อหาหลักของบทนี้ประกอบด้วย รายละเอียดบทย่อย ดังนี้

  • ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะห์
    • ระยะทางระหว่างจุดสองจุด
    • จุดกึ่งกลางระหว่างจุดสองจุด
    • ความชันของเส้นตรง
    • เส้นขนาน
    • เส้นตั้งฉาก
    • ความสัมพันธ์ซึ่งมีกราฟเป็นเส้นตรง
    • ระยะห่างระหว่างเส้นตรงกับจุด
  • ภาคตัดกรวย
    • วงกลม
    • วงรี
    • พาราโบลา (Parabola)
    • ไฮเพอร์โบลา (Hyperbola)
    • การเลื่อนกราฟ

เรขาคณิตวิเคราะห์

บทนี้จะศึกษาเกี่ยวกับจุดและรูปทรงต่าง ๆ ใน 2 มิติ โดยเริ่มจาก

ระยะห่างระหว่างจุด ให้จุด (x1, y1) และ (x2, y2) อยู่บนระนาบ x – y ดังรูป

ระยะห่างระหว่างจุด (x1, y1) และ (x2, y2) จะหาได้จากการใช้ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ได้ว่า

ข้อสังเกต

  • ถ้า x1 = x2 แสดงว่า จุดทั้งสองอยู่ในแนวเส้นตรงที่ขนานกับแกน y
    จึงได้ว่า ระยะห่างระหว่างสองจุดนั้น = |y1 – y2|
  • ถ้า y1 = y2 แสดงว่า จุดทั้งสองอยู่ในแนวเส้นตรงที่ขนานกับแกน x
    จึงได้ว่า ระยะห่างระหว่างสองจุดนั้น = |x1 – x2|

ตัวอย่างโจทย์ จงหาระยะห่างระหว่าจุด (1,2) และ (4,6) เฉลย

จุดกึ่งกลางระหว่างสองจุด ถ้าจุด (x, y) เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างจุด (x1, y1) และ (x2, y2) ดังรูป

แสดงว่า x เป็นค่ากึ่งกลางของ x1 และ x2 และ y เป็นค่ากึ่งกลางของ y1 และ y2 จะได้ว่า

ความชันของเส้นตรง

ข้อสังเกต

  • ถ้าความชันเป็นบวก เส้นตรงจะทำมุมแหลมกับแกน x เมื่อวัดมุมทวนเข็มนาฬิกา
  • ถ้าความชันเป็นลบ เส้นตรงจะทำมุมป้านกับแกน x เมื่อวัดมุมทวนเข็มนาฬิกา
  • ถ้า x1 = x2 เส้นตรงจะขนานกับแกน y ซึ่งความชันจะหาค่าไม่ได้
  • ถ้า y1 = y2 เส้นตรงจะขนานกับแกน x ซึ่งความชันจะเท่ากับศูนย์

ตัวอย่างโจทย์ จงหาความชันของเส้นตรงที่ผ่านสองจุดต่อไปนี้ (-7, -3) และ (-13, -6) เฉลย

เส้นขนานและเส้นตั้งฉาก

  • เส้นตรงที่ไม่ขนานกับแกน y จะขนานกันก็ต่อเมื่อมีความชันเท่ากัน
  • เส้นตรงที่ขนานกับแกน y จะขนานกับเส้นตรงที่ขนานกับแกน y เส้นอื่น ๆ ด้วย
  • เส้นตรงที่ไม่ขนานกับแกน y จะตั้งฉากกันก็ต่อเมื่อมีความชันคูณกันได้เท่ากับ -1
  • เส้นตรงที่ขนานกับแกน y จะตั้งฉากกับเส้นตรงที่ขนานแกน x

ความสัมพันธ์ซึ่งมีกราฟเป็นเส้นตรง

ให้ (x, y) เป็นจุดใด ๆ บนเส้นตรงที่ไม่ขนานกับแกน y และลากผ่านจุด (x1, y1) และ (x2, y2)
จะได้สมการเส้นตรงนี้ คือ


ถ้าให้เส้นตรงที่มีความชัน m ตัดแกน y ที่จุด (0, c) จะมีสมการเส้นตรง คือ

y = mx + c

เรียก c ว่าระยะตัดแกน y
และจะได้จุดตัดแกน x คือจุดที่ y = 0 จะได้ว่า

0 = mx+c
x = (-c/m)

ดังนั้น จุดตัดแกน x คือ ((-c/m), 0)
เรียก (-c/m) ว่าระยะตัดแกน x
ข้อสังเกต

  • สมการเส้นตรงที่ขนานกับแกน x จะมีสมการเป็น y = c โดยที่ c เป็นค่าคงที่ใด ๆ
  • สมการเส้นตรงที่ขนานกับแกน y จะมีสมการเป็น x = k โดยที่ k เป็นค่าคงที่ใด ๆ
  • เราสามารถหาสมการเส้นตรงใด ๆ ที่ไม่ขนานกับแกน y ได้ จากการแก้สมการ หรือระบบสมการ ของสมการเส้นตรง y = mx + c จากเงื่อนไขที่กำหนดมา
  • ถ้าเส้นตรงผ่านจุด (a, b) แสดงว่าจุด (a, b) อยู่บนเส้นตรงนั้น จะได้ว่า b = ma + c

โจทย์ตัวอย่าง จงหาสมการเส้นตรงที่มีความชันเท่ากับ -7 และผ่านจุด (0, -5) เฉลย

ภาคตัดกรวย

บทนี้จะเรียนเกี่ยวกับรูปร่างต่าง ๆ ที่เกิดจากการตัดทรงกรวยด้วยระนาบหนึ่ง โดยการตัดทำมุมต่าง ๆ กัน จะทำให้ได้รอยเฉือนรูปร่างต่าง ๆ ได้แก่ วงกลม, วงรี, พาราโบลา และไฮเพอร์โบลา

ซึ่งคุณสมบัติของรูปร่างต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะในทางวิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์

วงกลม
นิยามของวงกลม คือ เซตของจุดที่มีระยะห่างจากจุด ๆ หนึ่ง (จุดศูนย์กลางของวงกลม) เป็นระยะเท่า ๆ กัน จะได้ว่า ทุก ๆ จุดบนวงกลมจะมีระยะห่างจากจุดศูนย์กลางเท่ากับรัศมี

สมการวงกลม กลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุด (h, k) และมีรัศมียาว r หน่วย จะมีสมการ คือ

(x – h)2 + (y – k)2 = r2

แต่สมการวงกลมสามารถเขียนได้อีกแบบดังนี้

จาก (x-h)2 + (y-k)2 = r2

จะได้ x2 – 2hx + h2 + y2 – 2ky + y2 = r2

x2 + y2 – 2hx – 2ky + h2 + y2 – r2 = 0

ให้ A = -2h, B = -2k, C = h2 + k2 – r2

จะได้รูปทั่วไปของสมการวงกลม คือ x2 + y2 + Ax + By + C = 0

วงรี
นิยามของวงรี ให้ F1 และ F2 เป็นจุดใด ๆ จุด P ใด ๆ บนวงรีจะมีผลบวกของระยะจากจุดนั้นไปยังจุด F1 และ F2 เป็นค่าคงที่ค่าหนึ่งเสมอ โดยที่ค่าคงที่นี้มีค่ามากกว่าระยะ F1F2 หรือก็คือ F1P + F2P = k โดยที่ k > F1F2 สำหรับทุกจุด P บนวงรี เรียกจุด F1 และ F2 ว่า จุดโฟกัส และเรียก k ว่า ผลบวกคงตัว

F1P1 + F2P1 = k = F1P2 + F2P2

ส่วนประกอบของวงรี กราฟวงรีที่จะศึกษาในตอนนี้มี 2 แบบ ดังนี้

ส่วนประกอบของวงรี มีดังนี้
1. จุดศูนย์กลางวงรี (จากรูปคือจุด C(h, k)) คือ จุดกึ่งกลางระหว่างจุดโฟกัสทั้งสองจุด กำหนดให้ จุดโฟกัสทั้งสองห่างจากจุดศูนย์กลาง c หน่วย จะได้ว่า จุดโฟกัสทั้งสองห่างกัน 2c หน่วย

  • ถ้าวงรีเป็นแนวนอน จะได้ว่าจุดโฟกัสคือ (h ± c, k)
  • ถ้าวงรีเป็นแนวตั้ง จะได้ว่าจุดโฟกัสคือ (h, k ± c)

2. แกนเอก (จากรูปคือเส้นตรง V1,V2) คือ ส่วนของเส้นตรงที่มีจุดปลายอยู่บนวงรี และลากผ่านจุดโฟกัสทั้งสองจุด กำหนดให้ แกนเอกยาว 2a หน่วย

3. จุดยอดของวงรี (จากรูปคือจุด V1 และ V2) คือ จุดปลายของแกนเอก
จะเห็นว่า ผลบวกคงตัว จะมีค่าเท่ากับความยาวแกนเอก = 2a หน่วย

  • ถ้าวงรีเป็นแนวนอน จะได้ว่าจุดยอดคือ (h ± a, k)
  • ถ้าวงรีเป็นแนวตั้ง จะได้ว่าจุดยอดคือ (h, k ± a)
  • จุดกึ่งกลางระหว่างจุดยอดทั้งสองจุด คือ จุดศูนย์กลางวงรี

4. แกนโท (จากรูปคือเส้นตรง B1B2) คือ ส่วนของเส้นตรงที่มีจุดปลายอยู่บนวงรี โดยตั้งฉากกับแกนเอก
และผ่านจุดศูนย์กลางวงรี กำหนดให้ แกนโทยาว 2b หน่วย ดังนั้น จุดกึ่งกลางระหว่างจุดปลายของแกนโท คือ จุดศูนย์กลางวงรี

5. เส้นเลตัสเรกตัม (Latus Rectum) (คือ เส้นประทั้งสองเส้น ในรูปวงรีแนวนอน และวงรีแนวตั้ง) คือ ส่วนของเส้นตรงที่มีจุดปลาย อยู่บนวงรี(คอร์ดของวงรี) โดยตั้งฉากกับแกนเอก และผ่านจุดโฟกัส

6. ค่าความเยื้องศูนย์กลางของวงรี (e) คือ ค่าที่บอกความรีของวงรี โดย e = c/a

  • ค่า e มีค่าอยู่ในช่วง (0, 1)
  • ถ้า e มีค่าเข้าใกล้ 1 วงรีจะรีมาก
  • ถ้า e มีค่าเข้าใกล้ 0 วงรีจะรีน้อย

สมการวงรี

โจทย์ตัวอย่าง วงรีที่มีสมการเป็น (x+1)225 + (y+2)216 = 1

  • เป็นวงรีแนวนอน หรือแนวตั้ง ?
  • หาจุดศูนย์กลางวงรี ?
  • จุดโฟกัส ความยาวแกนเอก ?
  • จุดยอดของวงรี ?
  • ความยาวแกนโท ?
  • ความยาวของเส้นเลตัสเรกตัม ?
  • ค่าความเยื้องศูนย์กลางของวงรีนี้ ? เฉลย

พาราโบลา
นิยามของพาราโบลา ให้ L เป็นเส้นตรงใด ๆ และ F เป็นจุดใด ๆ ที่ไม่อยู่บนเส้นตรง L จุด P ใด ๆ บนพาราโบลาจะมีระยะห่างจากเส้นตรง L เท่ากับ ระยะห่างจากจุด F เรียกจุด F ว่า จุดโฟกัสของพาราโบลา และเรียกเส้นตรง L ว่า เส้นไดเรกตริกซ์
ส่วนประกอบของพาราโบลา

กราฟพาราโบลาที่จะศึกษามี 4 แบบ ดังนี้

ส่วนประกอบของพาราโบลา มีดังนี้
1. จุดยอด (จากรูปคือ V(h, k)) คือ จุดที่แบ่งครึ่งส่วนของเส้นตรงที่ลากจากจุดโฟกัสไปตั้งฉากกับเส้นไดเรกตริกซ์ ให้ระยะห่างระหว่างจุดโฟกัสกับจดยอดเท่ากับ a จะได้ระยะห่างระหว่างจุดโฟกัสกับเส้นไดเรกตริกซ์เท่ากับ 2a

2. แกนสมมาตร คือ เส้นตรงที่ตั้งฉากกับเส้นไดเรกตริกซ์ และผ่านจุดโฟกัส และจะผ่านจุดยอดด้วย แกนสมมาตรจะแบ่งกราฟพาราโบลาออกเป็น 2 ส่วนที่สมมาตรกัน

3. เส้นเลตัสเรกตัม (จากรูปคือ เส้นประ) คือ ส่วนของเส้นตรงที่มีจุดปลายอยู่บนพาราโบลา และลากผ่านจุดโฟกัส และขนานกับเส้นไดเรกตริกซ์ เส้นเลตัสเรกตัมยาวเท่ากับ 4a

ตารางแสดงส่วนประกอบของพาราโบลา

ลักษณะกราฟจุดโฟกัสสมการเส้นไดเรกตริกซ์สมการแกนสมมาตรจุดปลายของเส้นเลตัสเรกตัม
หงาย(h, k + a)y = k – ax = h (h 2a, k + a)
คว่ำ(h, k – a)y = k + ax = h (h 2a, k – a)
ตะแคงขวา(h + a, k) x = h – ay = k(h + a, k 2a)
ตะแคงซ้าย (h – a, k) x = h + ay = k(h – a, k 2a)

สมการของพาราโบลา

  • พาราโบลาหงาย จะมีสมการ คือ (x – h)2 = 4a(y – k)
  • พาราโบลาคว่ำ จะมีสมการ คือ (x – h)2 = -4a(y – k)
  • พาราโบลาตะแคงขวา จะมีสมการ คือ (y – k)2 = 4a(x – h)
  • พาราโบลาตะแคงซ้าย จะมีสมการ คือ (y – k)2 = -4a(x – h)

โจทย์ตัวอย่าง จงบอกลักษณะกราฟ จุดยอด จุดโฟกัส เส้นไดเรกตริกซ์ แกนสมมาตร ความยาวของเส้นเลตัสเรกตัม และจุดปลายของเส้นเลตัสเรกตัมของพาราโบลาที่มีสมการเป็น y2 = -4x – 4 เฉลย

คุยกันท้ายบท

และนี้ก็คือทั้งหมดของ “เรขาคณิตวิเคราะห์ และภาคตัดกรวย” น้องๆที่อ่านมาจนถึงตรงนี้คงจะเห็นได้ว่าเนื้อหาของคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 ทุกๆบทมีความเชื่อมโยงและเป็นพื้นฐานให้กันและกัน ซึ่งถ้าน้องไม่สามารถเข้าใจในพื้นฐานของแต่ละบทก็จะสร้างปัญหาให้แก่บทอื่นๆต่อเนื่องกัน ดังนั้นน้องๆทุกคนควรจะเข้าใจพื้นฐานในทุกๆบทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเวลาการทำข้อสอบ

และอีกสิ่งที่สำคัญก็คือ การทำโจทย์ให้มากๆ จากตัวอย่างที่นอตยกมาให้น้องๆนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโจทย์ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป แต่ถ้าหากใครอยากลองเจอโจทย์ที่ท้าทายมากกว่านี้ พี่นอตอยากให้น้องๆลองเข้ามาเรียนคอร์ส คณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 จากทาง Panya Society พี่นอตรับรองได้เลยว่ามีตัวอย่างโจทย์ที่ท้าทายมากกว่านี้แน่นอน

สุดท้ายนี้พี่นอตหวังว่า น้องๆจะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 ไปตลอดทั้งเทอม ขอให้น้องๆประสบความสำเร็จในการเรียน ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แล้วพบกันใหม่ ในบทความชุดต่อไปของพี่นอตนะครับ…

ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม

บทความคณิตศาสตร์อื่นๆ

ทำความรู้จัก พี่นอต (ดร.ธรรมนิติ์ พิพัฒน์ศรีสวัสดิ์)

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.4 – ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล และลอการิทึม

PANYA SOCIETY

ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล และลอการิทึม

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     เดินทางมาสู่บทที่ 2 ของคณิตศาสตร์ ม. 4 เทอม 2 “ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม” ก็นับว่าเป็นบทสำคัญอย่างยิ่งอีกเช่นกัน เพราะในสถิติข้อสอบ TCAS สัดส่วนการออกข้อสอบบทนี้ ในปีที่ผ่านๆมา ในข้อสอบ A – Level พบความถี่ในการออกข้อสอบสูงสุด โดยเฉลี่ยถึงประมาณ 3-4 ข้อในทุกปี

       นับว่าบทเรียนคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 เรื่อง “ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม” มีความสำคัญอย่างยิ่งที่น้องๆจะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด และอัดพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือกับการทำข้อสอบที่มีความหลากหลาย และควรฝึกทำโจทย์ที่ประยุกต์หลายบทเข้าไว้ด้วยกัน ที่มีเนื้อหาร่วมกับบทนี้

      อย่างที่กล่าวข้างต้น ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม ออกข้อสอบหลายข้อจริงๆ ดังนั้น น้องๆก็ควรใช้เป็นข้อที่ทำคะแนนอย่างยิ่ง เพื่อให้การอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยคุ้มค่าที่สุด อ่าน 1 บทก็ควรเก็บคะแนนได้ทุกประเภทข้อสอบ นำไปใช้ประยุกต์ได้กับข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย TCAS ในข้อสอบ A – Level ห้ามทิ้ง!

ชันฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม มีหน่วยย่อย ดังนี้

  • เลขยกกำลัง
    • การเปรียบเทียบเลขยกกำลัง
    • สมการรากที่สอง
    • รูปแบบรูทไม่รู้จบ
  • ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล
    • กราฟของฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล และการแปลงกราฟ
    • สมการเอกซ์โพเนนเชียล
    • อสมการเอกซ์โพเนนเชียล
  • ฟังก์ชันลอการิทึม
    • กราฟของฟังก์ชันลอการิทึม และการแปลงกราฟ
    • สมบัติของฟังก์ชันลอการิทึม
    • การเปรียบเทียบค่าลอการิทึม
    • แมนทิสซา และคาแรกเทอริสติก
    • สมการลอการิทึม
    • อสมการลอการิทึม

เลขยกกำลัง

สมบัติของเลขยกกำลัง ให้ a,b,m และ n เป็นค่าคงที่ใดๆ

 

ตัวอย่างโจทย์ จงใช้สมบัติของเลขยกกำลังทำให้อยู่ในรูปแบบง่าย ((73)-2)0.5 เฉลย

การเปรียบเทียบเลขยกกำลัง

  • ถ้า เลขฐาน > 1 แล้ว เลขชี้กำลังมากค่าจะยิ่งมาก
  • ถ้า 0 < เลขฐาน < 1 แล้ว เลขชี้กำลังมากค่าจะยิ่งน้อย

การเปรียบเทียบเลขยกกำลัง มีวิธีการได้แก่

ทำฐานให้เท่ากัน โดยพยายามจัดรูปให้เลขฐานเท่ากัน โดยหาเลขฐานร่วม แล้วแปลงเลขฐานเดิมของเลขที่จะเปรียบเทียบกันให้อยู่ในรูปยกกำลังของเลขฐานร่วม ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม เช่น

44 เปรียบเทียบกับ 83
(22)4 =28 เปรียบเทียบกับ (23)3=29
จะได้ว่า 28 < 29 เพราะฉะนั้น 44 <83

ทำเลขชี้กำลังให้เท่ากัน ถ้าเลขฐานเท่ากัน เลขฐานมากค่าจะยิ่งมาก เลขฐานน้อยค่าจะยิ่งน้อย ดังนั้น ถ้าจัดรูปให้เลขชี้กำลังเท่ากันได้ ก็จะสามารถเปรียบเทียบเลขฐานได้เลย เช่น

166 เปรียบเทียบกับ 274
(42)6 = 412 เปรียบเทียบกับ (33)4 = 312
จะได้ว่า 412 > 312 เพราะฉะนั้น 166 > 274

กรณีเลขฐานติดลบ ให้พิจารณาว่า ถ้ายกกำลังแล้วยังติดลบอยู่หรือไม่ โดยแปลงเลขฐานเป็น -1 คูณกับ จำนวนที่เป็นบวก แล้วกระจายเลขยกกำลังเข้าไป แล้วพิจารณาว่าหลังกระจายเลขยกกำลังเข้าไปแล้ว -1 ยังคงอยู่หรือไม่
โดยพิจารณาดังนี้

  • ถ้า -1 ยกกำลังด้วยเลขคู่ จะได้ 1
  • ถ้า -1 ยกกำลังด้วยเลขคี่ จะได้ -1
  • ถ้า -1 ยกกำลังด้วยเศษส่วนโดยที่ตัวส่วนเป็นเลขคี่ แล้ว
    • ถ้าเศษเป็นเลขคู่ จะได้ 1
    • ถ้าเศษเป็นเลขคี่ จะได้ -1
  • ถ้า -1 ยกกำลังด้วยเศษส่วนโดยที่ตัวส่วนเป็นเลขคู่ จะหาค่าไม่ได้
    จากนั้นจึงทำการเปรียบเทียบ โดยถ้ายังติดลบทั้งคู่ ตัวที่ติดลบเยอะกว่า จะมีค่าน้อยกว่า เช่น

(-9)5 เปรียบเทียบกับ (-9)4
(-1 × 9)5 เปรียบเทียบกับ (-1 × 9)4
(-1)5 × 95 เปรียบเทียบกับ (-1)4 × 94
-1 × 95 เปรียบเทียบกับ 1 × 94
จะได้ว่า -95 < 94 เพราะฉะนั้น (-9)5 < (-9)4

ฟังก์ชันเอกโพเนนเชียล

ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลเป็นฟังก์ชันที่ค่าของฟังก์ชันเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เร็วกว่าฟังก์ชันพหุนาม โดยเขียนอยู่ในรูปทั่วไปคร่าว ๆ ได้ว่า

y=ax
โดยที่ a > 0 และ a ≠ 1

ฟังก์ชันเอกโพเนนเชียล สามารถใช้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น

  • การแพร่พันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
  • การคิดดอกเบี้ยทบต้น
  • การเติบโตของเครือข่ายโซเชียล (Social Network)
  • การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี
  • การเย็นตัวของวัตถุร้อน

สมบัติของฟังก์ชันเอกซ์โพแนนเชียล

  • เมื่อ a > 1 ฟังก์ชัน y = ax จะเป็นฟังก์ชันเพิ่ม
  • เมื่อ 0 < a < 1 ฟังก์ชัน y = ax จะเป็นฟังก์ชันลด
  • โดเมนของฟังก์ชัน คือ R
  • เรนจ์ของฟังก์ชัน คือ R+

กราฟของฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล หากวาดกราฟของฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล y = ax จะได้ดังนี้

เมื่อ a > 1

เมื่อ 0 < a < 1

ข้อสังเกต

  • กราฟของฟังก์ชันผ่านจุด (0, 1) เสมอ
  • กราฟของฟังก์ชันอยู่เหนือแกน x เสมอ
  • กราฟของฟังก์ชัน y = ax และ y = (1/a)x = a-x จะสมมาตรกัน โดยมีแกน y เป็นแกนสมมาตร

การแปลงกราฟเอกซ์โพเนนเชียล กราฟของสมการจะเหมือนกับกราฟเอกซ์โพเนนเชียล y = ax ไปทางขวา h หน่วย และเลื่อนขึ้นไป k หน่วย ดังนั้น เพื่อที่จะวาดกราฟเอกซ์โพเนนเชียลให้ได้ง่ายขึ้น อาจจัดรูปสมการให้อยู่ในรูป y-k = ax-h ก่อนดังรูป

เมื่อ a > 1


ตัวอย่างโจทย์ จงวาดกราฟคร่าว ๆ ของสมการต่อไปนี้ y = 32x เฉลย

สมการเอกซ์โพเนนเชียล คือ สมการที่มี x อยู่ในเลขชี้กำลัง
การแก้สมการเอกซ์โพเนนเชียล

  • แก้โดยการทำฐานให้เท่ากัน
    • จัดรูปให้ทั้งสองข้างของสมการมีเลขฐานเท่ากัน
    • จะได้ว่า เลขชี้กำลังของทั้งสองข้าง จะเท่ากัน
  • แก้โดยการแทนค่าด้วยตัวแปรอื่น
    • หากไม่สามารถจัดรูปให้เลขฐานเท่ากันได้ อาจกำหนดให้พจน์ที่มี x อยู่ในเลขชี้กำลัง เป็นตัวแปรอื่น แล้วจึงค่อยแก้สมการ

ตัวอย่างโจทย์ จงแก้สมการเอกซ์โพเนนเชียลต่อไปนี้

ฟังก์ชันลอการิทึม

ฟังก์ชันลอการิทึม เป็นอินเวอร์สของฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล
ดังนั้น ถ้าฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลมีสมการเป็น

y = ax ,  a > 0 ,  a ≠ 1

แล้วฟังก์ชันลอการิทึมจะมีสมการเป็น

x = ay , a > 0 , a ≠ 1

ซึ่งหากจะเขียนให้อยู่ในรูป y ในเทอมของ x จะเขียนได้เป็น

 y = logax

ซึ่งหมายถึง x = ay ดังนั้น ฟังก์ชันลอการิทึม คือ

f = {(x, y) | y = loga x, a > 0, a ≠ 1}

ตัวอย่างเช่น
หาค่าของ log2(32)

ให้ y = log2(32)
จะได้ 2y = 32
2y = 25
จะได้ว่า y = 5
ดังนั้น log2(32) = 5

กราฟของฟังก์ชันลอการิทึม เนื่องจากเป็นอินเวอร์สกัน กราฟของฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล และกราฟของฟังก์ชันลอการิทึม จึงสมมาตรกันโดยมีเส้นตรง y = x เป็นแกนสมมาตร ดังนี้

กราฟของฟังก์ชันลอการิทึม เมื่อ a > 1

กราฟของฟังก์ชันลอการิทึม เมื่อ 0 < a < 1

สมบัติของลอการิทึม ให้ a, M, N เป็นจำนวนบวก ซึ่ง a > 0 และ a ≠ 1 และ m, n เป็นจำนวนจริงใดๆ


แมนทิสซา และคาแรกเทอริสติก ให้ N เป็นจำนวนจริงบวกใด ๆ และ n เป็นจำนวนเต็ม จะเขียน N ได้ในรูป

N = A×10n โดยที่ 1 ≤ A < 10 จะได้ว่า

  • logN = log (A×10n) โดยที่ log1 ≤ logA < log10
  • logN = logA + log10n
  • logN = logA + nlog10 โดยที่ 0 ≤ logA < 1
  • logN = logA + n

เรียก log A ว่า แมสทิสซา ของ log N ซึ่งค่าของ log A จะสามารถหาได้จากการเปิดตารางลอการิทึม
เรียก n ว่า คาแรกเทอริสติก ของ log N

สมการลอการิทึม คือ สมการที่มี x อยู่ในลอการิทึม โดยอาจอยู่ตรงเลขฐาน หรืออยู่หลัง log ก็ได้

การแก้สมการลอการิทึม

  • แก้โดยใช้นิยามของฟังก์ชันลอการิทึม
    • ถ้า logax = M
    • จะได้ว่า x = aM
  • แก้โดยการทำฐานให้เท่ากัน
    • ถ้า logaM = logaN
    • จะได้ว่า M = N
  • แก้โดยการแทนค่าด้วยตัวแปรอื่น
    • หากจัดรูปสมการไม่ได้อาจแทนค่าตัวที่ติด log ด้วยตัวแปรอื่น แล้วจึงแก้สมการ

ตัวอย่างโจทย์ จงแก้สมการลอการิทึมต่อไปนี้

คุยกันท้ายบท

       จะเห็นได้ว่า “ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม” ในคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 จะมีความเชื่อมโยงกับบทที่ผ่านมาคือ “ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน” ซึ่งถ้าน้องคนไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงจากบทที่แล้ว ก็จะยิ่งสร้างปมปัญหาต่อมาถึงบทนี้ ดังนั้น ควรกลับไปทบทวนเพื่อให้ “ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน” จะได้นำความรู้ความเข้าใจจากบทที่แล้ว มาต่อยอดได้ในเนื้อหาของบทที่ 2

       ที่สำคัญคือ อย่าลืมฝึกทำโจทย์บ่อยๆ และใช้เวลาว่างบนหน้าเว็บไซต์ของ Panya Society ลองฝึกทำโจทย์ที่พี่ให้ไว้ หรือเข้าไปชมตัวอย่างวิดีโอการสอนต่างๆ พร้อมคิดคำนวณตามไปด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการทบทวนความรู้ครับ แล้วพบกันในบทต่อไป เข้มข้นยิ่งขึ้นกับ “เรขาคณิตวิเคราะห์ และภาคตัดกรวย” กราฟเพียบ กราฟแน่น สนุกแน่นอนครับผม 🙂

       พี่หวังว่า น้องๆจะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 ไปตลอดทั้งเทอม ขอให้น้องๆประสบความสำเร็จในการเรียน ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แวะไปชมเนื้อหาบทสุดท้ายของคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 กันด้วยนะ…อย่าเทพี่นอตกลางทางนะครับ

ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน

เรขาคณิตวิเคราะห์ และภาคตัดกรวย

ทำความรู้จัก พี่นอต (ดร.ธรรมนิติ์ พิพัฒน์ศรีสวัสดิ์)

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.5 – ความน่าจะเป็น

PANYA SOCIETY

ความน่าจะเป็น

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

และแล้วก็เดินทางกันมาถึงสรุปเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ มัธยมปลาย ระดับชั้น ม.5 เทอม 2 โดย พี่นอต แห่ง Panya Society ในเรื่อง “ความน่าจะเป็น” ซึ่งเป็นเนื้อหาบทสุดท้ายของวิชาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 กันแล้วนะครับ โดยในบทนี้จะเป็นเนื้อหาที่ต่อยอดมาจากส่วนท้ายของเนื้อหา “หลักการนับเบื้องต้น” และเป็นการใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น การออกรางวัล การทอยลูกเต๋า การสุ่มสิ่งของต่างๆ เป็นต้น

ดังนั้น ถ้าน้องๆคนไหนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาของการเรียงสับเปลี่ยน การจัดหมู่ พี่นอตอยากให้น้องๆได้ลองย้อนกลับไปอ่านบทความ “หลักการนับเบื้องต้น” ที่พี่นอตเคยได้เขียนไว้แล้วนะครับ เพื่อเป็นการเตรียมพื้นฐานในการทำความเข้าใจเนื้อหาของ “ความน่าจะเป็น” ส่วนน้องๆคนไหนที่พร้อมแล้วเรามาลุยกันเลย แล้วก็อย่าลืมลองทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่พี่แนบไว้ด้วยนะครับ

เนื้อหาหลักของบทนี้ประกอบด้วย รายละเอียดบทย่อย ดังนี้

  • การทดลองสุ่ม
  • ความน่าจะเป็น

การทดลองสุ่ม

การทดลองสุ่ม คือ การทดลองที่รู้ผลลัพธ์อาจจะเป็นอะไรได้บ้าง แต่ไม่รู้แน่นอนว่าแต่ละครั้งที่ทดลองจะได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร เช่น การทอยลูกเต๋าหนึ่งลูกหนึ่งครั้ง แต้มบนหน้าลูกเต๋าที่อาจจะเป็นได้คือ 1,2,3,4,5,6 แต่บอกไม่ได้แน่นอนว่าแต้มที่จะได้เป็นอะไร

ปริภูมิตัวอย่าง คือ เซตของผลลัพธ์ที่อาจจะเป็นไปได้ทั้งหมดของการทดลองสุ่ม นิยมเขียนแทนด้วย S

เหตุการณ์ คือ เซตของผลลัพธ์ที่เราสนใจจากการทดลองสุ่ม นิยมเขียนแทนด้วย E ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า เหตุการณ์จะเป็นสับเซตของปริภูมิตัวอย่างเสมอ

ตัวอย่าง ในการโยนเหรียญ 2 ครั้ง ถ้าผลลัพธ์ที่สนใจ คือ หน้าของแต่ละเหรียญ จงหาปริภูมิตัวอย่าง และเหตุการณ์ที่เหรียญออกหัวอย่างน้อย 1 ครั้ง
วิธีทำ

  • ให้ H แทนเหรียญออกหัว
  • T แทนเหรียญออกก้อย
  • E คือ เหตุการณ์ที่ออกหัวอย่างน้อย 1 ครั้ง

ดังนั้น

  • S = {HH, HT, TH, TT}
  • E = {HH, HT, TH}

ตัวอย่าง ในกล่องใบหนึ่งมีสลากหมายเลข 1 ถึง 9 อยู่หมายเลขละ 1 ใบ สุ่มหยิบสลากขึ้นมา 2 ใบ พร้อมๆกัน จงหาเหตุการณ์ที่ผลรวมของหมายเลขที่หยิบได้เป็น 9
วิธีทำ

  • S = เหตุการณ์ทั้งหมดที่เป็นไปได้ในการหยิบสลาก 2 ใบขึ้นมาพร้อมกัน
  • S = {(1,2), (1,3), (1,4), (1,5), (1,6), (1,7), (1,8), (1,9), (2,3), (2,4), (2,5), (2,6), (2,7), (2,8), (2,9), (3,4), (3,5), (3,6), (3,7), (3,8), (3,9), (4,5), (4,6), (4,7), (4,8), (4,9), (5,6), (5,7), (5,8), (5,9), (6,7), (6,8), (6,9), (7,8), (7,9), (8,9)}
  • E คือ เหตุการณ์ที่ผลลัพธ์รวมกันได้ 9

ดังนั้น

  • E = {(1,8), (2,7), (3,6), (4,5)}

ความน่าจะเป็น

ต่อเนื่องจากการทดลองสุ่มและเหตุการณ์ ให้ S เป็นปริภูมิตัวอย่างที่เป็นเซตจำกัด และสมาชิกทุกตัวของ S มีโอกาสเกิดขึ้นเท่าๆกัน และ E เป็นเหตุการณ์ที่เป็นสับเซตของ S

ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ E เขียนแทนด้วย P(E) โดย

สมบัติของความน่าจะเป็น

  1. 0 ≤ P(A) ≤ 1 หรือ ความน่าจะเป็นจะมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1
  2. P(S) = 1
  3. P(∅) = 0
  4. P(A∪B) = P(A) + P(B) – P(A∩B)
  5. P(A’) = 1 – P(A)
  6. P(A-B) = P(A) – P(A∩B)
ตัวอย่าง ในการโยนเหรียญ 2 ครั้ง จงหาความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เหรียญออกหัวอย่างน้อย 1 ครั้ง วิธีทำ
  • ให้ H แทนเหรียญออกหัว
  • T แทนเหรียญออกก้อย
  • E คือ เหตุการณ์ที่ออกหัวอย่างน้อย 1 ครั้ง
ดังนั้น
  • S = {HH, HT, TH, TT}
  • E = {HH, HT, TH}
  • P(E) = n(E)n(S) = 34
ตัวอย่าง ในกล่องใบหนึ่งมีสลากหมายเลข 1 ถึง 9 อยู่หมายเลขละ 1 ใบ สุ่มหยิบสลากขึ้นมา 2 ใบ พร้อมๆกัน จงหาความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่ผลรวมของหมายเลขที่หยิบได้เป็น 9 วิธีทำ
  • S = เหตุการณ์ทั้งหมดที่เป็นไปได้ในการหยิบสลาก 2 ใบขึ้นมาพร้อมกัน
  • S = {(1,2), (1,3), (1,4), (1,5), (1,6), (1,7), (1,8), (1,9), (2,3), (2,4), (2,5), (2,6), (2,7), (2,8), (2,9), (3,4), (3,5), (3,6), (3,7), (3,8), (3,9), (4,5), (4,6), (4,7), (4,8), (4,9), (5,6), (5,7), (5,8), (5,9), (6,7), (6,8), (6,9), (7,8), (7,9), (8,9)}
  • E คือ เหตุการณ์ที่ผลลัพธ์รวมกันได้ 9
ดังนั้น
  • E = {(1,8), (2,7), (3,6), (4,5)}
  • P(E) = n(E)n(S) = 436

คุยกันท้ายบท

แบบฝึกหัด

1. นักเรียนห้องหนึ่งมีจำนวน 30 คน สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้เกรด A 5 คน ได้เกรด B 15 คน และได้เกรด C 10 คน ถ้าสุ่มนักเรียน 3 คน จากห้องนี้ แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้นักเรียนอย่างน้อย 1 คน ที่ได้เกรด A เท่ากับเท่าใด (สามัญ ปี’56)
เฉลย
2. กิตติและสมาน กับเพื่อนๆรวม 7 คน ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน ในการค้างแรมที่มีบ้านพัก 3 หลัง หลังแรกพักได้ 3 คน ส่วนหลังที่สองและสามพักได้หลังละ 2 คน ซึ่งแต่ละหลังมีความแตกต่างกัน พวกเขาจึงตกลงที่จะจับสลากว่าใครจะได้พักบ้านหลังใด ความน่าจะเป็นที่กิตติและสมานจะได้พักบ้านหลังเดียวกันในหลังที่หนึ่งหรือหลังที่สามเท่ากับเท่าใด (PAT1 มี.ค. ปี’52)
เฉลย

เป็นยังไงกันบ้างครับกับเนื้อหาและแบบฝึกหัดของ “ความน่าจะเป็น” ไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ น้องๆจะเห็นได้ว่าเนื้อหาของบทนี้ค่อนข้างสั้น แต่มีการนำเรื่องของการเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่จากเนื้อหา “หลักการนับเบื้องต้น” มาใช้ในบทนี้ด้วย และเนื้อหาของเรื่อง “ความน่าจะเป็น” นั้นจะเป็นพื้นฐานไปสู่เรื่องของ “สถิติ” ในตอนเรียนชั้น ม.6 อีกด้วย รวมไปถึงน้องๆคนไหนที่กำลังสนใจเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในสาขาที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์เช่น สาขาสถิติประยุกต์ สาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ต่างก็ใช้ความรู้ และความเข้าใจในพื้นฐานของความน่าจะเป็นกันทั้งหมด ดังนั้นแล้วน้องๆทุกคนควรจะเตรียมตัว และทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด

และจากบทความที่แล้วพี่นอตได้เกรินเอาไว้แล้วว่า จากสถิติที่ผ่านเนื้อหาในส่วนของความน่าจะเป็น และหลักการนับเบื้องต้นมักจะถูกรวมกันนำไปออกข้อสอบ A – Level ประมาณ 3-4 ข้ออยู่เป็นประจำ ดังนั้นถ้าน้องๆได้ลองทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่พี่นอตได้แนบไว้ น้องๆน่าจะเก็บคะแนนจากส่วนนี้ได้ไม่ยากอย่างแน่นอน แต่ถ้าน้องๆคนไหนอยากได้เนื้อหาที่ละเอียดมากกว่านี้ รวมไปถึงแบบฝึกหัดที่เข้มข้นกว่านี้ พี่นอตขอแนะนำคอร์สวิชา “คณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2” จาก Panya Society ที่มีการปูพื้นฐานตั้งแต่ง่ายไปจนถึงระดับยาก เน้นความเข้าใจ ไม่เน้นกาารท่องจำ พร้อมทั้งแบบฝึกหัด รวมไปถึงตัวอย่างข้อสอบจากข้อสอบจริงในการสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย A – Level

สุดท้ายนี้พี่นอตหวังว่า น้องๆจะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 ไปตลอดทั้งเทอม และขอให้น้องๆประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังกันทุกคนเลยนะครับ แล้วพบกันในบทความชุดถัดไปนะครับ รับรองว่าติดตาม Panya Society กันไว้ไม่ผิดหวังแน่นอน 🙂

หลักการนับเบื้องต้น

บทความคณิตศาสตร์อื่นๆ

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.5 – หลักการนับเบื้องต้น

PANYA SOCIETY

หลักการนับเบื้องต้น

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

กลับมากันอีกครั้งสำหรับสรุปเนื้อหาวิชา คณิตศาสตร์ มัธยมปลาย ระดับชั้น ม.5 เทอม 2 ในเรื่อง “หลักการนับเบื้องต้น” และแน่นอนอย่างที่พี่นอตเคยได้เกรินไปในตอนท้ายของบทที่แล้วว่าบทนี้นั้นจะใช้ความรู้พื้นฐานมาจากเนื้อหาของ “จำนวนเชิงซ้อน”

ดังนั้น ถ้าน้องๆคนไหนที่ยังไม่เข้าใจเนื้อหาของ “จำนวนเชิงซ้อน” พี่นอตอยากให้ลองย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ที่พี่นอตเคยได้เขียนไว้แล้วนะครับ เพื่อเป็นการเตรียมพื้นฐานในการทำความเข้าใจเนื้อหา “หลักการนับเบื้องต้น” ส่วนน้องๆคนไหนเตรียมตัวมาพร้อมแล้วเรามาลุยกันเลย แล้วอย่าลืมลองทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่พี่แนบไว้ด้วยนะครับ ขอให้เทอมนี้ คณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 เกรดปังๆเลยนะ ติดตามเนื้อหาไปด้วยกันครับ 🙂

โดยเนื้อหาหลักของบทนี้จะประกอบด้วยรายละเอียดบทย่อย ดังนี้

  • หลักการบวกและหลักการคูณ
  • การเรียงสับเปลี่ยน
  • การจัดหมู่
  • ทฤษฎีบททวินาม

หลักการบวกและหลักการคูณ

        ในการที่เราจะนับจำนวนสิ่งของ เหตุการณ์ หรือจำนวนวิธีในการทำงานบางอย่าง อาจจะสามารถนับได้โดยตรงจากการค่อยๆ ไล่นับไปจนครบ แต่หากสิ่งที่จะนับมีจำนวนมาก อาจจะทำให้การนับโดยตรงนั้นทำได้ยาก จึงมีหลักการนับสิ่งต่างๆ เบื้องต้น เพื่อช่วยให้การนับสิ่งที่มีจำนวนเยอะๆ ทำได้ง่ายขึ้น โดยแบ่งเป็น

หลักการบวก

ถ้าสามารถแบ่งการทำงานออกเป็นหลายกรณี จำนวนวิธีการทำงานทั้งหมด คือ ผลรวมของจำนวนวิธีการทำงานทุกกรณี แสดงออกมาในรูปแบบ

n1 + n2 + … + nn

ตัวอย่างเช่น มีการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ 2 ชิ้น วิชาภาษาอังกฤษ 3 ชิ้น และวิชาภาษาไทย 1 ชิ้น จะมีการบ้านให้เลือกทำกี่วิธี?

วิธีทำ   

  • มีการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ 2 ชิ้น
  • มีการบ้านวิชาภาษาอังกฤษ 3 ชิ้น
  • มีการบ้านวิชาภาษาไทย 1 ชิ้น
ดังนั้น จะมีการบ้านให้เลือกทำ 2 + 3 + 1 = 6 วิธี
หลักการคูณ

ถ้าการทำงานแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน จำนวนวิธีการทำงานทั้งหมด คือผลคูณของจำนวนวิธีการทำงานทุกขั้นตอน แสดงออกมาในรูปแบบ

n1 ✕ n2 ✕ … ✕ nn

ตัวอย่างเช่น มีการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ 2 ชิ้น วิชาภาษาอังกฤษ 3 ชิ้น และวิชาภาษาไทย 1 ชิ้น ถ้าวันนี้จะเลือกทำการบ้าน 2 ชิ้น โดยเมื่อทำการบ้านชิ้นแรกเสร็จ จะทำชิ้นที่ 2 ต่อ จะมีวิธีทำการบ้านในวันนี้กี่วิธี?

วิธีทำ

  • มีการบ้านทั้งหมด 6 ชิ้น
  • ขั้นตอนที่ 1 เลือกทำการบ้านชิ้นที่ 1 ซึ่งจะเป็นชิ้นใดก็ได้ มี 6 วิธี
  • ขั้นตอนที่ 2 เลือกทำการบ้านชิ้นที่ 2 ต่อ โดยเลือกจากการบ้านชิ้นที่เหลือ มี 5 วิธี

ดังนั้น จะมีวิธีทำการบ้านในวันนี้ 6 ✕ 5 = 30 วิธี

การเรียงสับเปลี่ยน

ต่อเนื่องจากหลักการคูณ หากมีสิ่งของอยู่ n ชิ้นที่แตกต่างกันทั้งหมด แล้วต้องการจะนำสิ่งของ r ชิ้นจากสิ่งของที่มีอยู่ นำมาเรียงลำดับจะได้ว่า

  • ขั้นตอนที่ 1 เลือกของชิ้นที่ 1 มาวาง ซึ่งจะเป็นชิ้นใดก็ได้ มี n ชิ้น
  • ขั้นตอนที่ 2 เลือกของชิ้นที่ 2 มาวาง โดยเป็นชิ้นที่เหลือจากการวางชิ้นที่ 1 มี n-1 ชิ้น

.
.
.

  • ขั้นตอนที่ r เลือกของชิ้นที่ r โดยเป็นชิ้นที่เหลือจากการวางชิ้นที่ r-1 มี n-r+1 ชิ้น

ดังนั้น จำนวนวิธีในการนำสิ่งของมาเรียง = n ✕ (n-1) ✕ (n-2) ✕ … ✕ (n-r+1)
หรือเรียกอีกอย่างว่า แฟกทอเรียล เขียนแทนด้วย n! โดยที่ n เป็นจำนวนเต็มบวก
โดย n! = n ✕ (n-1) ✕ (n-2) ✕ … ✕ 3 ✕ 2 ✕ 1
และ 0! = 1 *ระวังโดนหลอกกันนะครับน้องๆ*
การเรียงสับเปลี่ยนแบ่งออกเป็นอีก 3 อย่างด้วยกัน คือ

การเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของที่แตกต่างกันทั้งหมด
มีสิ่งของ n ชิ้น ที่ไม่ซ้ำกัน ต้องการนำมาเรียง r ชิ้น จะมีจำนวนวิธีเรียง คือ

ตัวอย่าง มีเลขโดด 5 ตัว คือ 1, 4, 6, 7, 9 จะนำมาสร้างเป็นเลข 5 หลักได้กี่จำนวน

วิธีทำ วิธีเรียงลำดับตัวเลขทั้ง 5 ตัว โดยนำมาเรียงทั้งหมด คือ P5,5 = 5! = 120 วิธี

การเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของที่ไม่แตกต่างกันทั้งหมด
มีสิ่งของ n ชิ้น โดยมีสิ่งของเหมือนกัน k กลุ่ม นำมาเรียงสับเปลี่ยน จะมีจำนวนวิธีเรียง คือ

ตัวอย่าง ต้องการนำตัวอักษรคำว่า “coffee” มาเรียงใหม่โดยไม่สนใจความหมาย จะเรียงได้กี่วิธี

วิธีทำ มีตัวอักษร f ซ้ำ 2 ตัว, e ซ้ำ 2 ตัว, c,o อย่างละ 1 ตัว
ดั้งนั้นจะเรียงได้ 6!2!✕2!✕1!✕1! = 180 วิธี
จะเห็นได้ว่าสามารถพิจารณาเพียงตัวที่ซ้ำได้

การเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของที่แตกต่างกันทั้งหมดเชิงวงกลม
มีสิ่งของ n ชิ้น ที่ไม่ซ้ำกัน นำมาเรียงเป็นวงกลม จะมีจำนวนวิธีเรียง คือ

(n-1)!

ตัวอย่าง มีดอกไม้อยู่ 10 ดอก ที่แตกต่างกัน ต้องการนำดอกไม้ทั้ง 10 ดอกนี้มาร้อยเป็นพวงมาลัย จะร้อยพวงมาลัยได้กี่แบบ
วิธีทำ การร้อยพวงมาลัย ถือเป็นเรียงดอกไม้เป็นวงกลม ดังนั้นจะร้อยพวงมาลัยได้ (10-1)! = 9! = 362,880 แบบ

การจัดหมู่

การจัดหมู่ คือ การเลือกกลุ่มของสิ่งของมา โดยไม่คำนึงถึงลำดับในการเรียงของสิ่งของในกลุ่มที่เลือกมา หากกลุ่มใดมีสิ่งของในกลุ่มเหมือนกัน จะนับเป็นการจัดหมู่เพียง 1 วิธี เช่น การจัดกลุ่ม 3 คน เพื่อทำงานกลุ่ม กลุ่ม A มีสมาชิกคือ พลอย แป๊ก และหยา จะเห็นได้ว่า ถ้าเราเรียงสมาชิกใหม่เป็น หยา แป๊ก และพลอย, แป๊ก หยา และพลอย หรือเรียงแบบอื่นๆก็จะนับเพียงว่า พลอย แป๊ก และหยา อยู่กลุ่มเดียวกัน

การจัดหมู่สิ่งของที่แตกต่างกันทั้งหมด
มีสิ่งของ n ชิ้น ที่ไม่ซ้ำกัน ต้องการเลือกมา r ชิ้น จะมีจำนวนวิธีจัดหมู่ คือ

ตัวอย่าง ร้านไอศกรีมร้านหนึ่ง มีไอศกรีมอยู่ 6 รส แพรวต้องการสั่งไอศกรีม 2 รส จากร้านนี้ แพรวจะสั่งได้ทั้งหมดกี่วิธี
วิธีทำ เลือกไอศกรีม 2 จากทั้งหมด 6 รส (62) = 6!(6-2)!2! = 15 วิธี

ทฤษฎีบททวินาม

ในการกระจาย x + yn เมื่อ x และ y เป็นจำนวนจริง และ n เป็นจำนวนเต็มบวก สามารถทำได้โดยนำ x หรือ y ของวงเล็บแรกเลือกคูณกับ x หรือ y ของวงเล็บต่อๆไป จนถึงวงเล็บที่ n จะได้ออกมา 1 พจน์ แล้วทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนครบทุกวิธี โดยวิธีในการเลือกแต่ละพจน์ต้องแตกต่างกัน แล้วจึงค่อยนำทุกพจน์มาบวกกัน แสดงอยู่ในรูปแบบดังนี้

(x + y)n = (n 0)xn + (n 1)xn-1y +…+ (n r)xn-ryr +…+ (n n)yn

ตัวอย่าง จงกระจาย (x – y)3
วิธีทำ (x – y)3 = (3 0)x3 + (3 1)x2(-y) + (3 2)x(-y)2 + (3 3)(-y)3 = x3 – 3x2y + 3xy2 – y3

คุยกันท้ายบท

แบบฝึกหัด

1. ในการจัดเด็ก 7 คน ซึ่งมีอายุ 1,2,3,4,5,6,7 ขวบ นั่งเก้าอี้ 7 ตัว ซึ่งติดหมายเลข 1,2,3,4,5,6,7 โดยกำหนดให้เด็กที่จะนั่งเก้าอี้หมายเลข k ต้องมีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ k-1 ขวบ จะมีวิธีในการจัดเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (สามัญ ปี’55)

  1. 32
  2. 60
  3. 64
  4. 120
  5. 128

เฉลย

2. มีข้อสอบปรนัย 20 ข้อ คะแนนเต็ม 50 คะแนน โดยกำหนดข้อ 1-10 ข้อละ 4 คะแนน และข้อ 11-20 ข้อละ 1 คะแนน หากนักเรียนตอบข้อใดถูก จะได้คะแนนเต็มของข้อนั้น แต่ถ้าตอบผิดหรือไม่ตอบจะได้ 0 คะแนน จะมีกี่วิธีที่นักเรียนคนหนึ่ง จะทำข้อสอบชุดนี้ได้คะแนนรวม 45 คะแนน (PAT1 ก.ค. ’53)

เฉลย

เป็นยังไงกันบ้างครับกับเนื้อหาและแบบฝึกหัดของ “หลักการนับเบื้องต้น” น้องๆจะเห็นได้ว่ามีการนำเนื้อหาของ “จำนวนเชิงซ้อน” มาใช้ในบทนี้ด้วย ซึ่งถ้าน้องคนไหน ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงจากบทที่แล้ว ก็จะยิ่งสร้างปมปัญหาต่อมาถึงบทนี้ และรวมไปถึงบทถัดไปด้วยซึ่งก็คือ “ความน่าจะเป็น” นั้นเอง รับรองเลยว่าใครที่ชอบเสี่ยงดวงหรือเสี่ยงโชคนั้นจะต้องชอบกับเนื้อหาในบทถัดไปอย่างแน่นอน ฮ่าๆ

ซึ่งจากสถิติที่ผ่านเนื้อหาในส่วนของหลักการนับเบื้องต้น และความน่าจะเป็นมักจะถูกรวมกันนำไปออกข้อสอบ A – Level ประมาณ 3-4 ข้ออยู่เป็นประจำ ดังนั้นถ้าน้องๆได้ลองทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่พี่นอตได้แนบไว้ น้องๆน่าจะเก็บคะแนนจากส่วนนี้ได้ไม่ยากอย่างแน่นอน แต่ถ้าน้องๆคนไหนอยากได้เนื้อหาที่ละเอียดมากกว่านี้ รวมไปถึงแบบฝึกหัดที่เข้มข้นกว่านี้ พี่นอตขอแนะนำคอร์สวิชา “คณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2” จาก Panya Society ที่มีการปูพื้นฐานตั้งแต่ง่ายไปจนถึงระดับยาก เน้นความเข้าใจ ไม่เน้นกาารท่องจำ พร้อมทั้งแบบฝึกหัด รวมไปถึงตัวอย่างข้อสอบจากข้อสอบจริงในการสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย A – Level 

สุดท้ายนี้พี่นอตหวังว่า น้องๆจะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 ไปตลอดทั้งเทอม และขอให้น้องๆประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังกันทุกคนเลยนะครับ แล้วพบกันในบทความสรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 บท “ความน่าจะเป็น” รับรองว่าสนุกแน่นอน

จำนวนเชิงซ้อน

ความน่าจะเป็น

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.5 – จำนวนเชิงซ้อน

PANYA SOCIETY

จำนวนเชิงซ้อน

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

จำนวนเชิงซ้อน เป็นบทแรกเนื้อหา คณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 โดยอาศัยพื้นฐานมาจากเนื้อหา ฟังก์ชันตรีโกณมิติ ของคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 ทำให้น้องๆควรมีพื้นฐานของ ฟังก์ชันตรีโกณมิติ ในการทำความเข้าใจเนื้อหาของส่วนนี้ และจำนวนเชิงซ้อนนี้มักถูกพบเห็บได้บ่อยๆในข้อสอบ A – Level ทำให้น้องๆควรเป็นอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจเนื้อหาของส่วนนี้ เพื่อเก็บคะแนนมาให้ได้

เนื้อหาหลักของบทนี้ประกอบด้วย รายละเอียดบทย่อย ดังนี้

  • หน่วยจินตภาพ
  • สมบัติเชิงพีชคณิตของจำนวนเชิงซ้อน
  • สังยุคและค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเชิงซ้อน
  • กราฟของจำนวนเชิงซ้อน
  • รูปเชิงขั้วของจำนวนเชิงซ้อน
  • รากที่ n ของจำนวนเชิงซ้อน

จำนวนเชิงซ้อน

จำนวนเชิงซ้อน

ให้ i=√-1 เรียกว่า หน่วยจินตภาพ จำนวนเชิงซ้อน คือ จำนวนที่เขียนอยู่ในรูป

z = a+bi หรือ (a,b) โดย a,b เป็นจำนวนจริง

เรียก a ว่า ส่วนจริงของ z(Re(z)) เรียก b ว่า ส่วนจินตภาพของ z(Im(z))

หน่วยจินตภาพ
การคำนวณค่าของ in เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มบวก ให้นำ n หารด้วย 4
  • ถ้าเหลือเศษ 1 : in = i
  • ถ้าเหลือเศษ 2 : in = -1
  • ถ้าเหลือเศษ 3 : in = -i
  • ถ้าหารลงตัว : in = 1

สมบัติของจำนวนเชิงซ้อน

  • เอกลักษณ์การบวก คือ 0
  • เอกลักษณ์การคูณ คือ 1
  • อินเวอร์สการบวกของ z คือ –z
  • อินเวอร์สการคูณของ z คือ z-1 = 1z

สังยุคและค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเชิงซ้อน

ให้ z = a + bi สังยุคของ z เขียนแทนด้วย z

z = a – bi

สมบัติของสังยุคของจำนวนเชิงซ้อน ให้ z = a + bi ค่าสัมบูรณ์ของ z เขียนแทนด้วย |z|

|z| = √a² + b²

สมบัติของค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเชิงซ้อน
กราฟและรูปเชิงขั้วของจำนวนเชิงซ้อน

ให้ z = a + bi จะเขียน z บนระนาบเชิงซ้อนได้ดังนี้

รูปชิงขั้วของ z เขียนได้เป็น

z = r(cos cos θ + i sin sin θ)
โดยที่ r = √a² + b² = |z| และ tanθ = ba

สมบัติของรูปเชิงขั้วของจำนวนเชิงซ้อน

รากที่ n ของจำนวนเชิงซ้อน

รากที่ n ของจำนวนเชิงซ้อน จะมี n รากโดยที่ k = 0, 1, 2, …, n-1
zk+1 เป็นรากที่ n ของ z

คุยกันท้ายบท

แบบฝึกหัด

1. ถ้า z เป็นจำนวนเชิงซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับสมการ z + |z-1z-1| = -3 + 2i แล้ว |z| มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (สามัญ1 ปี’59)

  1. 3
  2. 10
  3. 13
  4. 2√5
  5. 4

เฉลย

2. ถ้ากำหนดให้ P(x) เป็นพหุนามดีกรี 4 ซึ่งมีสัมประสิทธิ์เป็นจำนวนจริง และสัมประสิทธิ์ของ x4 เท่ากับ 1 ถ้า z1 และ z2 เป็นรากที่ 2 ของ 2i และเป็นคำตอบของสมการ P(x) = 0 ด้วย แล้ว P(1) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ (สามัญ ปี’56)

  1. 3
  2. 5
  3. 7
  4. 9
  5. 10

เฉลย

น้องๆคงได้รับความรู้เรื่อง “จำนวนเชิงซ้อน”  พร้อมกับใช้ความรู้พื้นฐานมาจากเนื้อหาฟังก์ชันตรีโกณมิติที่ผ่านมาจากคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 และจำนวนเชิงซ้อนนี้เองก็จะถูกนำไปใช้ต่อในบทถัดไปในเรื่องของ “หลักการนับเบื้องต้น” ทำให้เห็นได้ว่า น้องๆจำเป็นอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจในเนื้อหาอย่างต่อเนื่องเพราะแต่ละส่วนนั้นเป็นส่วนสำคัญในการต่อยอดของการเรียนในบทถัดๆไป

พี่หวังว่า น้องๆจะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 ไปตลอดทั้งเทอม และขอให้น้องๆประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ แล้วพบกันในบทความสรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 บทถัดไปนะครับ

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

หลักการนับเบื้องต้น

SHARE:

สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2​

PANYA SOCIETY

สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

     กลับมาอีกครั้งสำหรับบทความสรุปเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ ม.ปลาย จาก พี่นอต แห่ง Panya Society นะครับ วันนี้พี่นอตจะขอเสนอเนื้อหาของวิชาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 โดยหลังจากเทอม 1 ที่น้องๆได้เรียนเรื่อง ฟังก์ชันตรีโกณมิติ เมทริกซ์ และเวกเตอร์ในสามมิติกันไปแล้ว หลังจากเจอการคำนวณในเทอมแรกกันไปพี่นอตบอกเลยว่าเทอมที่ 2 นี้น้องๆจะเจอการคำนวนลดลง และไม่ยากอย่างที่คิดครับ มาดูเนื้อหาพอสังเขปของเทอม 2 ดีกว่าว่าน้องๆจะพบกับบทเรียนอะไรกันบ้าง?

โดยเนื้อหาของบทในเทอม 2 นี้ สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ น้องๆ จะได้พบกับ 3 บท ได้แก่

  • หน่วยจินตภาพ
  • สมบัติเชิงพีชคณิตของจำนวนเชิงซ้อน
  • สังยุคและค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเชิงซ้อน
  • กราฟของจำนวนเชิงซ้อน
  • รูปเชิงขั้วของจำนวนเชิงซ้อน
  • รากที่ n ของจำนวนเชิงซ้อน
  • หลักการบวกและหลักการคูณ
  • การเรียงสับเปลี่ยน
  • การจัดหมู่
  • ทฤษฎีบททวินาม
  • การทดลองสุ่ม
  • ความน่าจะเป็น

     จากภาพรวมของเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 จะเห็นได้ว่ามีการาคำนวนลดลงจากเทอม 1 พอสมควร แต่จะเน้นการเข้าใจในทฤษฎี คุณสมบัติ และการสังเกตมากกว่าเน้นการคำนวนเหมือนเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าเนื้อหาของเลขเทอม 2 นี้ถูกนำไปออกข้อสอบ A – Level รวมไปถึงข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอื่นๆ มาก-น้อย และบ่อยแค่ไหนกันครับ

ชื่อบทA – Level 66A – Level 67
จำนวนเชิงซ้อน22
หลักการนับเบื้องต้น22
ความน่าจะเป็น11

 

  จากสถิติข้างต้นเนื้อหาของคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 อาจจะถูกพบได้ค่อนข้างน้อยในการสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย แต่ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ค่อยมีการคำนวน ทำให้เป็นข้อที่น้องๆสามารถเก็บคะแนนได้ฟรีๆ โดยอาศัยความเข้าใจเพียงเท่านั้น ดังนั้นน้องๆควรจำเป็นอย่างยิ่งในการเข้าใจพื้นฐานของเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 เพื่อเก็บคะแนนจากส่วนนี้ไปให้ได้

      ดังนั้นพี่นอตขอแนะนำ คอร์สคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 จากทาง Panya Society ที่ภายในบทเรียนคณิตศาสตร์จะประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น มีการปูพื้นฐานตั้งแต่ง่ายไปจนถึงระดับยาก เน้นความเข้าใจ ไม่เน้นกาารท่องจำ พร้อมทั้งแบบฝึกหัด รวมไปถึงตัวอย่างข้อสอบจากข้อสอบจริงในการสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย ทำให้คอร์สนี้เหมาะกับน้องๆ ที่อยู่ชั้น ม.5 ที่โรงเรียนใช้หลักสูตรใหม่ (2560) ที่เบื่อกับการเรียนคณิตฯแบบท่องจำ แต่ดันทำโจทย์ไม่ได้ พี่นอตจะมาเสกให้น้องเข้าใจเนื้อหา และสนุกไปกับคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่การติวคณิตศาสตร์เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สามารถใช้ความรู้ ความเข้าใจจากการเรียนคอร์สนี้ได้เช่นกัน

      สุดท้ายนี้พี่นอตหวังว่า น้องๆจะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 2 และขอให้น้องๆประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ครับ แล้วพบกันในบทความถัดไปนะครับ

กลับหน้าบทความหลัก

จำนวนเชิงซ้อน

SHARE:

บทสัมภาษณ์

“เราต่อต้าน ‘วิชามาร’ ที่มุ่งเน้นการจำสูตรลัดเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความเข้าใจสูงสุดดึงศักยภาพ ความรู้ออกมาใช้แก้ปัญหาด้วยปัญญาจริง ๆ

 
 

Panya Society

วันนี้พี่จะมาเล่าประสบการณ์ตรงในการค้นหา
คณะที่ใช่สำหรับตัวเองในรั้วมหาวิทยาลัย
โดย พี่หมู แพทย์รามา ปี 2 จบ ม. 6 จาก มหิดลวิทยานุสรณ์

Panya Society

SHARE:

คณิตศาสตร์ ม.4 – ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน

PANYA SOCIETY

ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

      ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน” คือบทแรกของคณิตศาสตร์ ม. 4 เทอม 2 เป็นบทสำคัญที่จำเป็นจะต้องนำไปใช้เป็นพื้นฐานเพื่อประยุกต์สู่เนื้อหาในบทต่อไปที่จะมีความเข้มข้นขึ้น กล่าวคือใช้ในเรื่อง “ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม”

     นับว่าบทเรียนคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 เรื่องความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน มีความสำคัญอย่างยิ่งที่น้องๆจะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด และอัดพื้นฐานของบทนี้ให้แน่น เพื่อพร้อมรับมือกับการทำข้อสอบที่มีความหลากหลาย และโจทย์ที่ประยุกต์หลายบทเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจ โดยมีความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน เป็นส่วนหนึ่งของชุดความรู้สำคัญที่จำเป็นต้องนำไปประยุกต์ได้ในข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย TCAS ในข้อสอบ A – Level น้องๆอย่าทิ้งบทนี้ หมั่นทบทวนเนื้อหา และไม่ลืมที่จะเก็บเนื้อหาสาระสำคัญต่างๆด้วยนะครับ

ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน มีหน่วยย่อย ดังนี้

  • คู่อันดับและผลคูณคาร์ทีเซียน
  • ความสัมพันธ์
  • กราฟของความสัมพันธ์
  • การประยุกต์ของกราฟ
  • ฟังก์ชัน
  • ฟังก์ชันต่างๆ บางชนิด
  • แบบต่างๆ ของฟังก์ชัน
  • ฟังก์ชันผกผัน
  • การบวก การลบ การคูณ การหาร และการคูณด้วยจำนวนจริงของฟังก์ชัน
  • ฟังก์ชันประกอบ

ความสัมพันธ์

       ความสัมพันธ์ในทางคณิตศาสตร์นั้น มีความคล้ายกับความสัมพันธ์ในชีวิตจริงที่เราคุ้นเคย คือเป็นการแสดงความเกี่ยวข้องกันของสองสิ่ง ซึ่งในทางคณิศาสตร์เรียกว่า คู่อันดับ ซึ่งมีนิยามดังนี้ 

          คู่อันดับ คือ การนำสิ่ง สองสิ่ง มาเขียนคู่กัน โดยคำนึงถึงลำดับด้วย ซึ่งเขียนได้ดังนี้

คู่อันดับ a, b เขียนแทนด้วย (a, b) โดยเรียก a ว่า สมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับ และเรียก b ว่า สมาชิกตัวหลังของคู่อันดับ เช่น

  • (โตเกียว, ญี่ปุ่น)
  • (มกราคม, 31)
  • (แบงค์, จอย)
  • (99, 38)
  • (-9, 36.9)

การเท่ากันของคู่อันดับ หมายถึง (x1, y1) = (x2, y2)

ก็ต่อเมื่อ x1 = y1 และ x2 = y2 หรือก็คือ ตัวหน้า = ตัวหน้า, ตัวหลัง = ตัวหลัง

เมื่อรู้จักคู่อันดับแล้ว ความสัมพันธ์ มีนิยามดังต่อไปนี้

       ความสัมพันธ์ คือ เซตที่มีสมาชิกทุกตัวเป็นคู่อันดับ โดยที่คู่อันดับแต่ละคู่ เกิดจากการจับคู่กันของสมาชิกจากเซตสองเซต เช่น

  • {(A, X), (B, Y), (C, Z), (D, W)}
  • {(Galaxy Note 10, Samsung), (iPhone 11, Apple), (Find X, Oppo), …}
  • {(1, 1), (2, 4), (3, 9), …}

ตัวอย่างโจทย์ – จงหาค่า x,y เมื่อ (x + 1, 2y) = (-5, 11) เฉลย

        ผลคูณคาร์ทีเชียน เป็นการกระทำกันระหว่างเซต 2 เซต โดยผลคูณคาร์ทีเชียนระหว่างเซต A และ B เขียนแทนด้วย A×B คือ เซตของคู่อันดับ (a,b) ทั้งหมด โดยที่ a เป็นสมาชิกของเซต A และ b เป็นสมาชิกของเซต B เขียนอยู่ในรูปแบบดังนี้

A×B = {(a,b) | a ∈ A และ b ∈ B}

***ข้อสังเกต “ความสัมพันธ์ระหว่างเซต A,B ทุกอันต้องเป็นสับเซตของ A×B”***

ตัวอย่างโจทย์ – จงหาผลคูณคาร์ทีระหว่างเซตต่อไปนี้ {a, b} และ {a, b, c} เฉลย

สมบัติของผลคูณคาร์ทีเชียน ให้ A, B และ C เป็นเซตใด ๆ และ n(A) คือ จำนวนสมาชิกของเซต A

  • A×{} = {}
  • {}×A = {}
  • A×(B∪C) = (A×B)∪(A×C)
  • A×(B∩C) = (A×B)∩(A×C)
  • A×(B-C) = (A×B) – (A×C)
  • n(A×B) = n(A).n(B)

           ความสัมพันธ์จาก A ไป B ให้ A และ B เป็นเซตใด ๆ แล้ว r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ r เป็นสับเซตของ AB เขียนได้ว่า

r = {(a,b) | (a,b) ∈ A×B}

        ความสัมพันธ์แบบมีเงื่อนไข คือ เซตของคู่อันดับ โดยที่สมาชิกตัวหน้าของแต่ละคู่อันดับ สัมพันธ์กับสมาชิกตัวหลัง ในรูปแบบเดียวกันในทุก ๆ คู่อันดับ เช่น

  • A = {โตเกียว, กรุงเทพ, จาการ์ต้า, ปักกิ่ง, โซล}
  • B = {ไทย, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อินโดนีเซีย, อินเดีย, รัสเซีย}

ความสัมพันธ์จาก A ไป B แบบ “เมืองหลวง – ประเทศ” คือ {(โตเกียว, ญี่ปุ่น), (กรุงเทพ, ไทย), (จาการ์ต้า, อินโดนีเซีย), (ปักกิ่ง, จีน), (โซล, เกาหลี)}

หรือเขียนแบบบอกเงื่อนไขได้ว่า {(a, b) ∈ A×B | a เป็นเมืองหลวงของ b}

  • A = {1, 3, 5, 7, 9}

ความสัมพันธ์จาก A ไป A แบบ “บวกกันได้ 10” คือ {(1, 9), (3, 7), (5, 5), (7, 3), (9, 1)}

หรือเขียนแบบบอกเงื่อนไขได้ว่า {(a, b) ∈ A×A | a + b = 10}

        กราฟของความสัมพันธ์ หากความสัมพันธ์ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขแล้ว เราสามารถเขียนความสัมพันธ์โดยใช้กราฟได้ โดยการนำคู่อันดับต่างๆ ของความสัมพันธ์ไปวาดลงบนกราฟ เช่น

ให้    A = {0, 1, 2, 3, 4, 5}
B = {5, 6, 7, …, 20}
โดย r = {(x, y) ∈ A×B | y = 3x}
แจกแจงสมาชิกได้เป็น r = {(2, 6), (3, 9), (4, 12), (5, 15)}

จะวาดกราฟได้ดังนี้

ในกรณี r เป็นความสัมพันธ์ของจำนวนจริง มักจะวาดกราฟได้เป็นเส้น  เช่น

r = {(x, y) ∈ R | y = 3x}

จะวาดกราฟได้ดังนี้

เคล็ดลับการพิจารณากราฟ พิจารณากราฟของความสัมพันธ์ระหว่าง x และ y ได้ดังนี้

  • กราฟจะผ่านจุด (a, b) เมื่อ แทนค่า a และ b ลงในสมการแล้วทำให้สมการเป็นจริง
  • จุดตัดแกน x คือ จุดที่ y = 0 ถ้าแทนค่าแล้วสมการไม่เป็นจริงแสดงว่า ไม่มีจุดตัดแกน x 
  • จุดตัดแกน y คือ จุดที่ x = 0 ถ้าแทนค่าแล้วสมการไม่เป็นจริงแสดงว่า ไม่มีจุดตัดแกน y
  • กราฟอยู่เหนือแกน x เมื่อ y > 0
  • กราฟอยู่ใต้แกน x เมื่อ y < 0

ตัวอย่างโจทย์ – กราฟต่อไปนี้ผ่านจุด (0, 1) หรือไม่

ตัวอย่างโจทย์ – จงหาจุดตัดแกน x และ y ของกราฟต่อไปนี้

        โดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ 

       โดเมนของความสัมพันธ์ r คือ เซตของ สมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับทุกคู่ ในความสัมพันธ์ r โดเมนของความสัมพันธ์ r เขียนแทนด้วย Dr

Dr = {x | (x, y) ∈ r}

        เรนจ์ของความสัมพันธ์ r คือ เซตของ สมาชิกตัวหลังของคู่อันดับทุกคู่ ในความสัมพันธ์ r เรนจ์ของความสัมพันธ์ r เขียนแทนด้วย Rr

Rr = {y | (x, y) ∈ r}

เช่น

r = {(1, 3), (2, 8), (3, 10), (3, -5), (4, 19), (8, 3), (100, -5), (-9, 22)}
Dr = {1, 2, 3, 4, 8, 100, -9}          
Rr = {3, 8, 10, -5, 19, -5, 22}

r = {(โตเกียว, ญี่ปุ่น), (กรุงเทพ, ไทย), (เบอร์ลิน, เยอรมันนี), (แคนเบอร์ร่า, ออสเตรเลีย), (โซล, เกาหลี), …}
Dr = เซตของเมืองหลวงทั่วโลก
Rr = เซตของประเทศทุกประเทศ

ฟังก์ชัน

        ฟังก์ชัน คือ ความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่สมาชิกในโดเมนแต่ละตัวจับคู่กับ สมาชิกในเรนจ์ของความสัมพันธ์ เพียงตัวเดียวเท่านั้น เช่น

{(1,a), (2,b), (3,c), (4,d)} เป็นฟังก์ชัน
{(1,a), (2,a), (3,a), (4,a)} เป็นฟังก์ชัน
{(1,a), (1,b), (3,c), (4,d)} ไม่เป็นฟังก์ชัน เพราะมี 1 ที่จับคู่กับทั้ง aและb

ข้อสังเกตฟังก์ชันอย่างเร็วๆ

  • ถ้าสมาชิกตัวหน้าของแต่ละคู่อันดับไม่ซ้ำกัน จะเป็นฟังก์ชัน
  • ถ้ามีสมาชิกตัวหน้าคู่อันดับซ้ำกัน อย่างน้อย 1 คู่อันดับ จะไม่เป็นฟังก์ชัน
  • ความสัมพันธ์ที่มี y ยกกำลังเป็นเลขคู่ หรือ y อยู่ในเครื่องหมายค่าสัมบูรณ์ จะไม่เป็นฟังก์ชัน

การนิยามฟังก์ชัน ถ้า f เป็นฟังก์ชัน และ (x, y) ∈ f จะได้ว่า y เป็นค่าของฟังก์ชัน f ที่ x เขียนแทนด้วย f(x) หรือ y = f(x) เรียก f(x) = (ค่าในเทอมของ x) ว่า นิยามของฟังก์ชัน ดังเช่น

ถ้า f เป็นฟังก์ชันของ x แล้ว เราสามารถหาค่า f(k) ได้โดย
สมมุติให้ x = k แล้วหาค่า f(x) เมื่อแทน x = k

นิยามของฟังก์ชัน คือ f(x) = x2 + 1

f(5) คือ สมมุติ x = 5 หาค่า x2 + 1
จะได้ว่า f(5) = 52 + 1 = 26

f(-1) คือ สมมุติ x = -1 หาค่า x2 + 1
จะได้ว่า f(-1) = (-1)2 + 1 = 2

f(a + b) คือ สมมุติ x = a + b หาค่า x2 + 1
จะได้ว่า f(a+b) = (a+b)2 + 1 = a2 + 2ab + b2 + 1

รูปแบบต่างๆของฟังก์ชัน มีดังต่อไปนี้

ฟังก์ชันจาก A ไป B

f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B เขียนแทนด้วย f:A→B

 หมายความว่า ทุกสมาชิกใน A ต้องมีคู่กับสมาชิกใน B

ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B

f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B เขียนแทนด้วย f:A onto→ B

หมายความว่า ทุกสมาชิกใน A และ B ต้องมีคู่

ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B

f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B เขียนแทนด้วย f:A  1-1→  B

หมายความว่า ทุกสมาชิกใน A ต้องมีคู่กับสมาชิกใน B และคู่ไม่ซ้ำ

ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไปทั่วถึง B

ถ้า f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B และ f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B แล้ว f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไปทั่วถึง B เขียนแทนด้วย f:A  1-1 onto→  B 

ตัวอย่างโจทย์

ให้ A = {1, 2, 3, 4, 5}
B = {4, 5, 6, 7}
ฟังก์ชั้นต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันประเภทใด เพราะเหตุใด

 

ฟังก์ชันผกผันหรือฟังก์ชันอินเวอร์ส ให้ f เป็นฟังก์ชันใด ๆ อินเวอร์สของฟังก์ชัน f เขียนแทนด้วย f⁻¹
ถ้า f⁻¹ เป็นฟังก์ชัน จะเรียก f⁻¹ นี้ว่า ฟังก์ชันอินเวอร์ส
ถ้า f⁻¹ เป็นฟังก์ชันของ x จะเขียนได้ว่า f⁻¹(x)โดยวิธีหา f⁻¹ จะเหมือนกับการหา r⁻¹ (ความสัมพันธ์อินเวอร์ส) เช่น

ฟังก์ชัน y = 3x + 7
อินเวอร์สของฟังก์ชันนี้ คือ x = 3y + 7 (ได้จากการสลับชื่อตัวแปร)
จากนั้น จัดรูปใหม่ให้ y มาอยู่ด้านซ้ายของสมการ จะได้ y =

จะเขียนได้ว่า f = {(1, 2), (2, 4), (3, 8), (4, 7)}

f⁻¹ = {(2, 1), (4, 2), (8, 3), (7, 4)}

ข้อสังเกต

  • f⁻¹ อาจไม่เป็นฟังก์ชัน
  • f⁻¹ จะเป็นฟังก์ชัน ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
  • ถ้า f⁻¹ เป็นฟังก์ชัน แล้ว f(a) = b จะได้ว่า f⁻¹(b) = a

การดำเนินการของฟังก์ชันให้ f และ g เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมน และเรนจ์เป็นสับเซตของจำนวนจริง จะมีวิธีการดำเนินการระหว่างฟังก์ชันดังนี้ วิธีการดำเนินการระหว่างฟังก์ชั

ตัวอย่างโจทย์ ให้ (x) = 2x + 3 และ g(x) = x² – 1 จงหา (f – g)(2) เฉลย

คุยกันท้ายบท

      จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน เป็นพื้นฐานส่วนสำคัญในการต่อยอดไปในบทถัดไปก็คือ “ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม” ซึ่งในบทถัดไปฟังก์ชันเหล่านี้จะมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปอีก ในคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 จะมีความเชื่อมโยงจากบท ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน” อยู่ตลอด และควรให้ความสำคัญกับการเรียนเพื่อความเข้าใจสูงสุด ในเนื้อหาบทเรียนต่างๆ ฝึกทำโจทย์บ่อยๆ และใช้เวลาว่างบนหน้าเว็บไซต์ของ Panya Society ฝึกทำโจทย์ที่พี่แทรกไว้ พร้อมคำนวณตามไปด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการทบทวนความรู้…อย่าแอบดูเฉลยนะ!

       พี่หวังว่า น้องๆจะสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ม.4 เทอม 2 ไปตลอดทั้งเทอม และขอให้น้องๆประสบความสำเร็จในการเรียนเทอมนี้ ได้เกรดดังหวัง คะแนนปังทุกคนเลยครับ

สรุปเนื้อหาที่สำคัญ

ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม

SHARE:

Technic_GATENG

BY PANYA SOCIETY

เทคนิคเตรียมตัวสอบ

GAT English

ข้อสอบ GAT คืออะไร?

      ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับข้อสอบ GATกันก่อนเลยดีกว่า…
     “GAT หรือ General aptitude test” ข้อสอบมี 2 ส่วน คือ GAT เชื่อมโยง เเละ GAT English ที่เราจะมาพูดถึงกัน
      GAT English เป็นข้อสอบวัดการสื่อสารภาษาอังกฤษ หลากทักษะเพื่อวัดความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ โดยมีคะเเนนเต็ม 150 คะเเนน เเบ่งเป็น 4 พาร์ทด้วยกัน ได้เเก่

     รวมจำนวนข้อทั้งหมดจาก 4 Parts เป็น 55 ข้อ วันนี้ Panya Society สรุปเทคนิคสำคัญในการทำข้อสอบ มาให้น้อง ๆ สำหรับการเตรียมตัวสอบ GAT English เพื่อพิชิตในพาร์ทต่าง ๆ ให้ได้ถึงแก่นของข้อสอบมากยิ่งขึ้น ติดตามกันได้เลย!

GETGAT_Logo-01

     ข้อสอบ GAT English พาร์ทนี้เน้นการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคำศัพท์, idiom หรือสำนวนต่าง ๆ ดังนั้นนอกจากการฝึกโจทย์ conversation เเล้ว การเรียนรู้ expression ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันจากนอกตำราเรียนภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการดูภาพยนต์ภาษาอังกฤษ หรืออ่านหนังสือภาษาอังกฤษต่าง ๆ การฝึกด้วย วิธีนี้จะช่วยรวมการอ่านหนังสือกับการผ่อนคลายของเราอีกด้วย ช่วยให้เรามีเเรงจูงใจในการอ่านหนังสือเพิ่มไปอีก

     เทคนิคที่ใช้ในการทำข้อสอบ GAT English part 1 อย่างง่าย คือการดูบริบทของสถานการณ์จริง และลองไล่ลำดับเหตุการณ์ของคำถาม-คำตอบที่น่าจะเป็น  น้อง ๆ จำเป็นต้องทดลองฝึกทำข้อสอบเก่าที่มีสำนวนคำถามและสถานการณ์ที่แตกต่างกันในข้อสอบแบบ Cloze Test หรือการถาม-ตอบ เช่น การสอบถามเส้นทาง การคุยกับพนักงานขาย การไปพบแพทย์ การชวนเพื่อนไปเที่ยว เมื่อเราลองฝึกฝนวิธีการสื่อสารจริงบนข้อสอบในสถานการณ์ที่หลากหลาย จะช่วยทำให้น้อง ๆ ทำโจทย์สไตล์ต่าง ๆ ได้เก่งมากขึ้น

GETGAT_Logo-01

ตัวอย่างข้อสอบ

GAT English Part 1 : conversation

● Make-up class (Items 9-11)

Joe : Is there an English make-up class this Thursday night?
Charles : Yes, there is! The class starts at 5. It will go on until about 7. Then there will be a meeting about the graduation party. ___(9)___?
Joe : Definitely. By the way, I’m in a hurry. Got to return a book to the library before it closes. ___(10)___?
Charles : Sure! I can do that for you.
Joe : Thank you! ___(11)___?
Charles : Just a notebook. There will be hand-outs.

9.


1. Would you like to graduate
2. Are you interested
3. Do you understand
4. Will you pay for me
5. Is the party fun

10.


1. Could you put my name down please
2. Could I not show up on time
3. Would you please not ask me a question
4. Do I need to check out some books
5. Can you see me in the library

11.


1. Should I finish my assignments now
2. Do we need to dress up for the party
3. Can I get a ride from you
4. Do I need to bring anything
5. Can I lend you something for the class

เฉลยพร้อมวิธีคิด : สถานการณ์ของข้อ 9-11 จะเป็นการสนทนาระหว่างเพื่อนที่พูดเรื่องการนัดเรียนเพิ่ม
9. Charles มีนัดต่อจากนั้น คือจะไปเลี้ยงฉลองจบการศึกษา ดังนั้นบริบทของคำถามต่อจากนั้น ต้องมาดูที่คำตอบ ซึ่งชัดเจนว่า เพื่อนต้องถามว่า “สนใจไปด้วยกันไหม?” เพราะคำตอบจาก Joe คือไปแน่นอน แต่ตอนนี้ ฉันต้องรีบไปก่อน เพราะต้องคืนหนังสือก่อนห้องสมุดจะปิด ดังนั้นคำตอบต้องเป็นคำถามในข้อ 2
10. ประโยคคำถามของข้อนี้ที่เว้นให้ตอบ สามารถเดาจากบริบทของคำตอบในบรรทัดต่อมาคือ “ได้สิ ฉันช่วยได้” นั่นหมายความว่า เกิดการตอบตกลงชัดเจน แต่ไม่ไปทันที เพราะจะไปห้องสมุดก่อน Joe จึงขอให้ Charles “ช่วยลงชื่อเข้าเรียนให้ฉันหน่อยนะ” ความหมายคือ เดี๋ยวตามไป ไม่สามารถไปพร้อมกันได้ จึงตอบข้อ 1
11. Joe ขอบคุณเพื่อน พร้อมกับคำถามบางอย่าง สังเกตจากคำตอบของ Charles คือบอกว่า “แค่สมุดจดก็พอ ในคลาสมีเอกสารให้แล้ว” นั่นคือ Joe น่าจะถามว่า “ต้องเอาอะไรเข้าห้องเรียนบ้าง” จึงตอบข้อ 4

     จากข้อนี้ คนทำข้อสอบมีสิทธิ์หลงทาง หากไม่สังเกตคำว่า “By the way” คือการเปลี่ยนเรื่องพูด เป็นสำนวนใช้ตัดบท หรือเปลี่ยนเรื่องที่อีกฝ่ายชวนคุย วกมาเป็นเรื่องของตัวเอง ดังนั้นต่อจากนั้นบริบทของการคุย ไม่มีอะไรเกี่ยวกับงานเลี้ยงแล้ว ถ้าต่อไม่ติดอาจจะตอบผิดทั้งหมด ก็เป็นได้

MENU

Conversation

Vocabulary

Reading

Writing

    ในพาร์ทนี้ต้องอาศัยความขยันในการท่องจำศัพท์ โดยเทคนิคที่นำไปใช้ได้ คือ การศึกษารูปประโยคเเละการนำไปใช้ในประโยคภาษาอังกฤษ รวมถึงคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกันก็สามารถช่วยได้มาก

    เทคนิคที่แนะนำ คือ ความเข้าใจใน Prefix, Suffix และ Root เพราะทำให้ศัพท์ภาษาอังกฤษบางคำที่นักเรียนไม่ได้รู้ความหมายตรง ๆ แต่อย่างน้องสามารถเดาจากบริบท (Contexts) รอบข้างของประโยค ไปพร้อมกับการดูองค์ประกอบของคำคำนั้น ก็จะช่วยทำให้การคาดเดา หาความหมายมีความแม่นยำ หรือมีโอกาสตอบถูกสูงกว่าการเดาเอาเองโดยที่ไม่มีความรู้เรื่องของส่วนประกอบของคำ

    สำหรับการทำข้อสอบ GAT English Part นี้ คนที่ไม่ได้ท่องศัพท์มาเลย หรือมี Vocabulary Stocks น้อยมาก ๆ ทำให้ไม่สามารถดึงคลังศัพท์มาใช้งานได้ ถึงเวลาแล้วที่ นักเรียนจะเริ่มทบทวนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และพยายามเร่ง Speed กับการฝึกทำข้อสอบในส่วนคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น เพราะหลาย ๆ ปี คำศัพท์ยาก ๆ ที่เคยออกแล้วใน Part นี้ วนซ้ำผ่านตามาให้เราได้เห็นกันอีกอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น การเรียนภาษาอังกฤษ กลุ่ม คำศัพท์ผ่านการทำข้อสอบ และเข้าใจโครงสร้างของคำจากการฝึกดู Choice และตัดข้อที่คิดว่าไม่ใช่ออกได้แม่นยำ ก็ทำให้โอกาสตอบถูกมีอยู่สูงมากเลย

GETGAT_Logo-01

ตัวอย่างข้อสอบ

GAT English Part 2 : vocabulary

 ● After the plane crash, a committee was set up to determine the causes of the accident.

1. cover
2. control
3. prevent
4. state
5. identify

เฉลยพร้อมวิธีคิด : สถานการณ์หลังเครื่องบินชนแล้ว เจ้าหน้าที่คณะกรรมการถูกตั้งเพื่อที่จะทำอะไร? จากตรงนี้จะเห็นว่า ต่อให้ไม่รู้จักคำว่า determine มาก่อน แต่เนื่องด้วยตามด้วยคำว่า “the causes of the accident” ก็คือ สาเหตุของอุบัติเหตุ เราก็พอจะเดาได้ว่าต้องตอบ identify = ระบุสาเหตุของอุบัติเหตุ จึงตอบข้อ 5

 ● Learning to make an informed decision is critical to your career development.

1. similar
2. damaging
3. dangerous
4. vital
5. inferior

เฉลยพร้อมวิธีคิด : เนื่องจาก Sense ของประธานพูดถึงการเรียนรู้ ซึ่งเป็นโทนบวก ดังนั้น ต่อให้ไม่รู้จักคำว่า critical เราก็พอจะเดาได้ว่า มันต้องเป็นอะไรที่ดีงามต่อการพัฒนาในสายงาน จึงทำให้ตัด Choice ข้อความที่เป็นเชิงลบ (2,3,5) หรืออ่านแล้วรู้สึกเฉย ๆ (1) ดังนั้นคำตอบคือ Vital ที่แปลว่า ‘สำคัญต่อชีวิต’ ซึ่งสะท้อนความหมายของบริบทประโยคที่ดูเป็นเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ สอดคล้องกัน จึงตอบข้อ 4.

    จะเห็นว่าในการทำข้อสอบ GAT English ทั้ง 2 ข้อข้างต้น บริบทของประโยคช่วยให้คำตอบที่ถูกต้องได้แม่นยำ แม้ไม่รู้ความหมายของคำก็ตาม ก็สามารถคาดเดาคำตอบที่น่าจะเป็นได้อย่างถูกต้อง

MENU

Conversation

Vocabulary

Reading

Writing

     สิ่งที่สำคัญในการทำข้อสอบ GAT English พาร์ทนี้คือ การบริหารจัดการเวลา เพราะน้อง ๆ มักจะทำไม่ทันเนื่องจากปริมาณข้อสอบที่เยอะเเละบทความที่ยาว เทคนิคจึงสำคัญมากในการทำข้อสอบ GAT English พาร์ทนี้ ไม่ว่าจะเป็นการ skimming เเละ scanning รวมไปถึงการจับใจความสำคัญ การจับเวลาตอนฝึกทำข้อสอบอย่างสม่ำเสมอก็จะยิ่งช่วยให้เรารู้ว่าเราต้องปรับปรุงเพิ่มอย่างไร

     เทคนิคที่อยากแนะนำคือ “การหา Main Idea ของเส้นเรื่องให้เจอก่อน และทำความเข้าใจโจทย์เบื้องต้น จึงค่อยกลับมาอ่าน Passage ไล่ตามรายละเอียดของแต่ละข้อ” เพราะการอ่าน Passage ยาว ๆ ใช้เวลาค่อนข้างมาก ถ้าน้อง ๆ ไปใช้เวลาในการเก็บรายละเอียด และอ่านจนเข้าใจโดยใช้เวลาในห้องสอบเพลิดเพลินกับ Reading Part จะทำให้ทำข้อสอบไม่ทันแน่นอน ดังนั้น จับประเด็นให้เจอ ผ่านการอ่านคร่าว ๆ กวาดตาไปก่อน 1 รอบ แล้วไปดูโจทย์ ค่อยกลับมาอ่านรายละเอียดใน Passage อีกที เพื่อหาคำตอบในแต่ละห้วง มีโอกาสทำโจทย์ Reading ได้ง่ายกว่า ‘อย่าเสียเวลากับการอ่านจนทำข้อสอบไม่ทัน’

    อีกเรื่องหนึ่งที่ช่วยได้มากคือ การฝึกทำโจทย์ Passage ที่มีความหลากหลายของลักษณะบทความภาษาอังกฤษ เช่น เรื่องราวความรู้ทางการแพทย์ ข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์โลก ข่าวเรื่องสิ่งแวดล้อม บทความด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี การได้เรียนภาษาอังกฤษผ่านบทความและข้อความหลากหลายแขนง ทำให้เกิดคลังศัพท์ และคุ้นชินกับรูปแบบประโยค หรือสไตล์โจทย์ ที่จะถามให้ pattern ที่คาดเดาได้ เช่น ถามหาความหมายของศัพท์ใน Passage, เช็คความเข้าใจของเรื่อง, refer, imply หรือโจทย์แนวให้ตั้งชื่อเรื่อง, ถามว่าใครคือผู้เขียน และกลุ่มเป้าหมายคนอ่าน ก็จะเป็นแนวคำถามที่พบเห็นบ่อย ๆ จนเข้าใจลักษณะของข้อสอบ GAT English จริง ๆ จะช่วยให้นักเรียนไม่ตื่นข้อสอบเพราะรู้ล่วงหน้าว่าจะเจอกับโครงสร้างคำถามแบบใด แม้ Passage จะเปลี่ยนไปก็ตาม

GETGAT_Logo-01

ตัวอย่างข้อสอบ

GAT English Part 3 : reading

38. The Black Death was a(n) __________ .

1. army
2. disease
3. treatment
4. organization
5. new invention

39. The phrase “This effective method” refers to __________ .

1. cleaning respiratory systems
2. proposing new painting techniques
3. filtering out chemicals
4. using a soaked cloth as a filter
5. practicing fire drills

40. The purpose of this passage is to ___________ .

1. entertain
2. surprise
3. upset
4. inform
5. persuade

     ข้อสอบ reading ค่อนข้างยาว จึงขอยกตัวอย่างประเภทของคำถามที่ออกบ่อย ๆ อย่าง 3 ข้อข้างต้น 
เฉลยพร้อมวิธีคิด : จะเห็นว่าเป็นคำถามที่วัดความเข้าใจของการอ่านภาษาอังกฤษในภาพรวมได้ดี
38. ถามหา definition ของชุดความรู้ หรือ technical term ที่อ่านว่าสิ่งนั้นคืออะไร?
39. ถามถึง refer to คือการวัดความเข้าใจการอ้างถึงสิ่งแทนที่กล่าวถึงก่อนหน้า ต้องอ่านแล้วเข้าใจบริบทของเส้นเรื่อง
40. ถามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนเรื่องราวข้างต้น นั่นหมายความว่าต้องจับ mood & tone ของเส้นเรื่อง และ main idea คร่าว ๆ ได้ชัดเจน จึงจะตอบได้

     ข้อสอบมี Pattern การเตรียมสอบ GAT English Part reading ที่ค่อนข้างชัดมากในรูปแบบของสิ่งที่ถามบ่อย ๆ ถ้าเข้าใจวิธีถาม ฝึกอ่านบ่อย ๆ แก้ปัญหาบ่อย ๆ พิชิตข้อสอบเขียนได้แน่นอน ไม่ยากอย่างที่คิด

MENU

Conversation

Vocabulary

Reading

Writing

    สิ่งที่สำคัญของพาร์ทนี้คือ Grammar ดังนั้นจึงต้องเรียนภาษาอังกฤษในส่วนของ Grammar ให้คล่องเเคล่ว ทั้งการใช้งานเเละข้อยกเว้นต่าง ๆ โดยหัวข้อที่ออกมักจะคล้ายคลึงกับข้อสอบ GAT English ปีเก่า การฝึก Grammar เรื่องที่เคยออกมาในปีก่อน ๆ จึงสำคัญต่อพาร์ทนี้มาก

    คนที่จะทำข้อสอบ GAT English Part 4 : Writing ได้ดี หรือทำข้อสอบแนว Error Detection เพื่อจับผิดข้อสอบ และ Cloze Test เติมศัพท์ที่หายไปในช่องว่าง ต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง “Sentence Structure” อย่างมาก เพื่อทำให้การนำเอาคำไปใช้ในรูปประโยค ถูกทั้ง Voice & Tense และเป็น Part of Speech ที่ตรงกับรูปแบบของประโยค ดังนั้นใครที่อ่อน Grammar การฝึกทำโจทย์สไตล์นี้ ทำให้เก่ง Grammar มากขึ้น เพราะจะได้ฝึกการเรียนภาษาอังกฤษในรูปแบบที่ถูกต้อง ซึ่งเราได้ฝึกแก้ไขรูปประโยคภาษาอังกฤษ หรือคำที่ผิดพลาดในโจทย์จนชำนาญ ทำโจทย์แนวนี้แล้ว ยิ่งเขียนเก่งขึ้นอย่างแน่นอน เตรียมพร้อมกับข้อสอบแนวเขียนที่จะไปพบเจอในรั้วมหาวิทยาลัย ให้รับมือได้กับการเรียนภาษาอังกฤษจริงจังในระดับที่สูงขึ้น

GETGAT_Logo-01

ตัวอย่างข้อสอบ

GAT English Part 3 : reading

 ● A flash flood (1) results from a number of (2) factors, but (3) are most often (4) due to (5) extremely heavy rainfall from thunderstorms.

1. results from
2. factors
3. are
4. due to
5. extremely

เฉลยพร้อมวิธีคิด : ข้อนี้วัดเรื่องโครงสร้างประโยค กับการใช้ Part of Speech จะเห็นว่า
– result from (แปลว่า เกิดมาจาก) ถูกต้องแล้ว เนื่องจากเป็น verb ใช้กับ flood ที่เป็นเอกพจน์
– factors ถูกต้องแล้ว เพราะใช้ a number of ใช้กับนามในรูปพหูพจน์
– due to (แปลว่า เนื่องจาก) ถูกต้องแล้ว เนื่องจาก ต้องตามด้วยคำนาม หรือวลีเท่านั้น
– extremely ถูกต้องแล้ว เนื่องจาก Adverb ใช้ขยาย Adjective ‘heavy’

ข้อ 3 ผิด เพราะใช้ are กับ flood ในที่นี้ที่เป็นประธานในรูปเอกพจน์ไม่ได้ ต้องใช้ is

 ● There are (1) times when a flying experience is memorable for all the wrong reasons: mechanical problems, bad food, (2) lose luggage or (3) a number of other problems that result (4) in significant (5) inconvenience.

1. times
2. lose
3. a number of
4. in
5. inconvenience

เฉลยพร้อมวิธีคิด : ข้อนี้สามารถตอบได้เลยว่าข้อ 2 ผิด ต้องแก้เป็น lost เพราะกระเป๋าเดินทางหายเองไม่ได้ ต้องถูกทำให้หายไป ดังนั้นการเปลี่ยน verb ให้อยู่รูป adjective ต้องทำเป็นรูปคำ past participle สำหรับข้อนี้จึงตอบ 2

     สุดท้ายนี้ข้อสอบ GAT English มีน้ำหนักมากในการสอบเข้ามหาวิทยา ดังนั้นการฝึกทำข้อสอบเก่าอย่างสม่ำเสมอ เเละมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เราสามารถได้คะเเนนที่ต้องการได้อย่างเเน่นอน ขอให้น้อง ๆ โชคดีในการสอบเข้าคณะที่มุ่งหวัง และถ้าเกิดใครที่ยังไม่มั่นใจในการเตรียมสอบ GAT English ครูตวงแห่ง Panya Society มีคอร์ส “GET GAT English” มาช่วยเพิ่มคะแนนให้ได้ถึง 80-100 คะแนน up ให้ติดคณะที่ใฝ่ฝัน ด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่เตรียมพร้อมเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างสบาย พร้อมเทคนิคช่วยทำข้อสอบเพียบ กับข้อสอบทุกสไตล์ ครบทุกพาร์ทใน GAT English มีรวบรวมไว้แล้วในคอร์สนี้ ห้ามพลาด!

     เรียนภาษาอังกฤษ เตรียมสอบ GAT English ฝึกทำข้อสอบ พร้อมเทคนิคทำโจทย์ 4 parts และเคล็ดลับพิชิตคะแนนพุ่ง เรามีผู้ช่วยส่วนตัว เป็นโค้ชถาม-ตอบตลอด 24 ชั่วโมง ไปพร้อมกับหนังสือเนื้อหาครบครัน ดีไซน์น่าอ่าน มาทำคะแนนภาษาอังกฤษให้ปังกับครูพี่ตวง ได้ที่ Panya Society

:: รู้จักพี่ตวง ::
ตวงรัตน์ แสงโชติ TCAS ENGLISH

● ติวเตอร์ภาษาอังกฤษประสบการณ์สอนกว่า 10 ปี
● กำลังศึกษาปริญญาโท คณะศิลปศาสตร์ สาขาการสอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
● ปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง)
● พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินนานาชาติกว่า 6 ปี

MENU

Conversation

Vocabulary

Reading

Writing

: คอร์สแนะนำ :

SHARE: